tag:blogger.com,1999:blog-40957888446291052162024-02-07T20:33:00.498-08:00knittanithttp://www.blogger.com/profile/02938631367294223145noreply@blogger.comBlogger2125tag:blogger.com,1999:blog-4095788844629105216.post-32122316519566031272008-09-30T05:44:00.000-07:002008-09-30T05:56:21.907-07:00เงาะป่าซาไกภูมิปัญญาไทย<div align="center">เงาะป่าซาไกภูมิปัญญาไทย</div><div align="center"> </div><div align="left"><span style="color:#ff6600;">ประวัติความเป็นมา</span><br /> กลุ่มชาติพันธ์เงาะป่าในแหลมมลายู<br /> ซาไกเป็นกลุ่มชาติพันธ์นิกริโต (nigrito) อาศัยอยู่รวมกันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ กระจัดกระจายอยู่ตามพื้นที่ป่าเขาในภาคใต้ของประเทศไทยตลอดแหลมมลายู ซาไกหรือที่คนไทยเรียกว่า “เงาะป่า” ยังมีผู้เรียกชื่อชนกลุ่มนี้อีกหลายชื่อ เช่น ซาแก เซมัง(samang) ซินนอย(senoi) คะนัง โอรัง อัสลี ออกแก นิกริโต และเงาะ ส่วนพวกซาไกเรียกตนเองว่า “ก็อย” “มันนิ” หรือ “คะนัง”<br />เชื้อชาติเงาะป่าซาไกในแหลมมลายู ลักษณะรูปพรรณสัณฐาน นิสัยใจคอ สติปัญญา<br />ลักษณะรูปร่างตามธรรมชาติ มีลักษณะเหมือนกับสืบสายมาจากคนป่าแถบอัฟริกา ผมหยิกคอดติดหนังศีรษะ ผิวดำคล้ำ จมูกแบนกว้าง ริมฝีปากหนา ฟันซี่โต ใบหูเล็ก ท้องป่อง ตะโพกแฟบนิ้วมือนิ้วเท้าใหญ่ รูปร่างสันทัดสูงประมาณ 140-150 เซนติเมตร ผู้หญิงเตี้ยกว่าผู้ชาย แข็งแรง ล่ำสัน ชอบเปลือยอก<br />นิสัยใจคอ มีอุปนิสัยร่าเริง ชอบดนตรีและเสียงเพลง จะฟังออกหรือไม่ไม่สำคัญขอให้เป็นเสียงดนตรีเป็นชอบฟัง กลัวคนแปลกหน้า ยิ้มง่ายเปิดเผยเมื่อคุ้นเคย เกลียดการดูถูกเหยียดหยาม เยือกเย็น พูดน้อยตรงไปตรงมาไม่มีเล่ห์เหลี่ยม<br />สติปัญญา ชาวเงาะทั่วไปมีแววฉลาดหลักแหลม เรียนรู้ได้เร็วและมีความจำยอดเยี่ยม ทั้งเด็กและผู้ใหญ่มีศักยภาพด้านภาษาสูง<br />ซาไกแต่ละกลุ่มมีการไปมาหาสู่ เยี่ยมเยือนและมีการนับเครือญาติในหมู่ซาไกที่อยู่ต่างถิ่นด้วย จากหลักฐานสารานุกรมวัฒนธรรมภาคใต้ พ.ศ. 2529 (อ้างถึงใน อนงค์ เชาวนะกิจ. 2550:11-15) กล่าวว่า ประชากรซาไกกระจายอยู่ทั่วไปในเขตภาคใต้ของประเทศไทย เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2520 ชาวอำเภอตะโหมด จังหวัดพัทลุง ผู้หนึ่งให้ข้อมูลว่า พบชาวซาไกบนภูเขาบรรทัดประมาณ 70 คน และมีการสืบค้นเพิ่มเติมพบว่า กลุ่มชาวซาไกกลุ่มต่าง ๆ เหล่านี้ อาศัยอยู่ตามป่าในเขตจังหวัดพัทลุง ตรัง สตูล ยะลา ปัตตานีและนราธิวาส ในจังหวัดสตูลพบกลุ่มชนชาวซาไกในเขตอำเภอทุ่งหว้า จังหวัดยะลาพบที่อำเภอธารโต บันนังสตาและเบตง และจังหวัดนราธิวาสพบที่อำเภอแว้ง อำเภอระแงะ </div><div align="left"><br /><span style="color:#ff6600;">ประชากรซาไกในประเทศไทย</span><br /> ประชากรซาไกในประเทศไทยมีประมาณ 200 คน แยกตามกลุ่มลักษณะภาษาที่ใช้ได้ 4 กลุ่ม ไก้แก่<br /> 1. กลุ่มซาไกที่ใช้ภาษาแด็นแอ็น เรียกว่า กลุ่มแด็นแอ็น มีถิ่นฐานอยู่แถบจังหวัดพัทลุง สตูล มี ประชากรเมื่อ พ .ศ. 2526 จำนวน 70 คน พ.ศ.2527 คณะสำรวจของสถาบันทักษิณคดีศึกษาพบพวกซาไกบนภูเขา ที่ตำบลลิพัง อำเภอปะเหลียน จังหวัดตรัง จำนวน 20 คน และเมื่อ พ.ศ. 2528 ชาวตำบลคลองเฉลิม อำเภอกงหรา จังหวัดพัทลุง บอกว่าพบซาไกลงมาอยู่ใกล้หมู่บ้านประมาณ 30 คน<br /> 2. กลุ่มซาไกที่ใช้ภาษากันซิว มีถิ่นฐานอยู่แถบจังหวัดยะลา มีประชากรประมาณ 60 คน<br /> 3. กลุ่มซาไกที่ใช้ภาษาแตะเด๊ะ มีถิ่นฐานอยู่แถบอำเภอรือเสาะ และแภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส มีประชากรประมาณ 40 คน<br /> 4. กลุ่มซาไกที่ใช้ภาษายะฮายย์ มีถิ่นฐานอยู่แถบอำเภอแว้ง จังหวัดนราธิวาส มีประชากรประมาณ 30 คน<br /> สำหรับประเทศมาเลเซีย มีซาไกประมาณ 70,000 คน แบ่งตามกลุ่มภาษาที่ใช้ประจำกลุ่ม เป็น 11 กลุ่ม คือ กลุ่มโมด็อยฮ้อง กลุ่มปะตั้ก กลุ่มซ็อยอ็อนปร๊ะ กลุ่มฮ็องไดย์ กลุ่มไดย์ฮองยาเลาะ กลุ่มปะและ กลุ่มละเนาะ กลุ่มละไมย์ กลุ่มเลาะแตะอ็อง กลุ่มก้อต๊ะ และกลุ่มโมฮอด็อก ซาไกทุกกลุ่มทั้งในทั้งในภาคใต้ของไทยและประเทศมาเลเซีย เขาเชื่อว่าพวกเขาทุกกลุ่มเป็น “มันนิ” กัน คือเป็นพวกเดียวกันทั้งสิ้น </div><div align="left"> <br /><span style="color:#ff6600;">วิถีชีวิตและความเป็นอยู่ของเงาะป่าซาไก<br /></span> ถิ่นที่อยู่อาศัย ลักษณะบ้านเรือน<br /> ซาไกอาศัยอยู่ตามป่าเขา ชอบใช้ชีวิตเหมือนมนุษย์สมัยหิน และชอบเร่ร่อนย้ายถิ่นสร้างกระท่อมเป็นที่อาศัยเรียกว่า “ทับ” กระจายอยู่ทางภาคใต้ของประเทศไทยไปจนถึงรัฐเคดาห์ และรัฐปะหัง ประเทศมาเลเซีย บนเกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย สำหรับในประเทศไทย ชนเผ่าซาไกจะเร่ร่อนย้ายถิ่นจากถิ่นหนึ่งไปยังอีกถิ่นหนึ่ง ในแถบบริเวณภาคใต้ของไทยจะอยู่กันเป็นกลุ่ม ๆ ละประมาณ 20-30 คน มักเลือกทำเลสูง ๆ ใกล้แหล่งน้ำ เป็นที่อยู่อาศัย เมื่อเลือกทำเลได้ตามต้องการก็จะแผ้วถางให้บริเวณนั้นโล่งเตียนแล้วสร้างที่อยู่เป็นกระต๊อบเล็ก ไ เรียกว่า “ทับ” โดยใช้กิ่งไม้ง่ามเป็นตอม่อ ยกแคร่ขึ้นสูงจากพื้นดิน 1 ศอก และ กว้าง 1 ศอก ซาไกที่เป็นโสดจะมีแคร่เดียว ส่วนซาไกที่มีสามีภรรยา จะมี 2 แคร่อยู่ใกล้ ๆ กัน โดยเว้นตรงกลางไว้ หลังคาทับสร้างเป็นแบบเพิงหมาแหงน ใช้เสาไม้ง่ามสี่ต้น เสาสองต้นหน้าสูงระดับศีรษะ เสาสองต้นหลังสูงจากพื้นดินเล็กน้อย ใช้เชือกผูกโครงหลังคานำใบไม้มามุงแบบง่าย ๆ ป้องกันแสงแดด เมื่อถึงฤดูฝน ซาไกจะไปอาศัยอยู่ตามถ้ำหรือเชิงผา โพรงต่าง ๆ <br /> การหลับนอน<br /> พวกซาไกถือว่าเท้าเป็นอวัยวะสำคัญของพวกเขา ใช้สัญจรและหาอาหารมาเลี้ยงปากท้อง พวกเขาจึงนอนเอาศีรษะออกข้างนอก เอาเท้าเก็บไว้ข้างใน เขาบอกว่าเท้ามีความสำคัญกว่าศีรษะ ไปไหนมาไหนได้ก็เพราะเท้า หาอาหารได้ด้วยเท้าหรือเกิดเหตุการณ์ฉุกละหุกกะทันหันภัยมาถึงตัวก็วิ่งหนีได้ด้วยเท้า และการหันศีรษะออกข้างนอกหากเกิดเหตุก็จะรู้สึกตัวเร็ว ถ้าหากมีเสือมาถ้าหันเท้าออกข้างนอกเสือกัดเท้าทำให้ไม่ตายแต่จะเกิดอาการเจ็บปวด ลำบากมาก ไปไหนไม่ได้ แต่เมื่อหันศีรษะออกเสือจะได้กัดศีรษะทีเดียวได้ตายเสียเลย ส่วนท่านอนชอบนอนตะแคงมากกว่านอนหงายหรือนอนคว่ำ เป็นสัญชาติญาณในการระวังภัย ทำให้สะดวกในการลุกหนีเมื่อมีภัยมาถึงตัว<br /> การอพยพโยกย้ายถิ่น<br /> ซาไกจะโยกย้ายถิ่นที่อยู่อาศัย มีนิสัยอยู่ไม่เป็นที่ ซาไกจะสร้างทับอยู่อาศัยในที่แห่งหนึ่ง ๆ ประมาณ 3-4 วัน หรือไม่เกิน 15 วัน สาเหตุใหญ่เกิดจากแหล่งอาหารตามธรรมชาติร่อยหรอ หรือในกลุ่มมีคนตาย เพราะซาไกกลัวเรื่องผีมาก ก่อนออกเดินทางซาไกจะเอาขี้เถ้าออกจากกองไฟ ทาตัวและหน้าตาก่อนเพราะเชื่อว่าผีจะจำไม่ได้ ตามไปทำร้ายไม่ถูก สาเหตุอีกประการหนึ่งคือ ซาไกจะแยกถ่ายอุจจาระจากที่ไกล โดยเอาต้นมันสำปะหลังปักไว้บนกองอุจจาระ เพื่อเป็นสัญลักษณ์จะได้ไม่เหยียบ ขยับไล่เข้ามาใกล้ที่พักเรื่อย ๆ ถึงที่พักเมื่อใดเป็นสัญญาณโยกย้ายถิ่น และเมื่อกลับมา ต้นมันสำปะหลังโตสามารถกินหัวได้อีก ในการอพยพหัวหน้ากลุ่มจะเดินนำหน้าและแบกของมากกว่าคนอื่นเพราะถือว่าต้องเสียสละมากกว่าผู้อื่น <br />อาหารการกินและการแต่งกาย<br />การแต่งกาย <br /> สมัยก่อนชาวซาไกใช้ใบไม้ เปลือกไม้ หรือตะใคร่น้ำที่เกาะเป็นแผ่นตามก้อนหินใหญ่ ๆ ในป่า โดยการแคะมาจากหินแล้วผึ่งแดดให้แห้งจนเป็นสีดำ แล้วนำมาถักเป็นเครื่องนุ่งห่ม ผู้หญิงซาไกนุ่งยาวถึงหัวเข่าหรือครึ่งน่อง ใช้ผ้าคาดอกหรือเปลือยอก ผู้ชายนุ่งสั้นแค่เข่าและเปลือยอก ส่วนเด็ก ๆ จะไม่นุ่งอะไรเลย ชาวเงาะรู้จักใช้ผ้ามาแล้วตั้งแต่สมัยพ่อแม่ของเขา แต่ไม่รู้จักเอามานุ่งให้เป็นถุงเป็นผืนอย่างชาวบ้าน เขาจะเอามาฉีกออกเป็นชิ้น ๆ ขนาดฝ่ามือเดียวกัน แต่มีผ้าหรือใบไม้นุ่งทับรอบเอวยาวแค่เข่าหรือครึ่งน่องอีกชั้นหนึ่ง ผ้าคาดอกหรือเปลือยอกเช่นเดียวกับผู้ชาย<br /> คำบอกเล่านี้ตรงกับลักษณะการแต่งกายของชาวเงาะที่จังหวัดพัทลุงและจังหวัดตรัง ที่พระพุทธเจ้าหลวง รัชกาลที่ 5 ทรงพบเมื่อ ร.ศ.125 (พ.ศ.2548) ดังข้อความที่พระองค์ท่านทรงพรรณนาไว้ในพระราชนิพนธ์เรื่องเงาะป่าว่า<br />“....ผู้ชายนุ่งผ้าคาบหว่างขา แล้วกระหวัดเอวไว้ทั้งหน้าหลังเรียกว่า “ นุ่งเลาะเตี๊ยะ” ชายที่ห้อยข้างหน้าเรียกว่า “ ไกพ๊อก” ชายที่ห้อยข้างหลังเรียกว่า “ กอเลาะ” วิธีนุ่งผ้าเช่นนี้ เหมือนอย่างเขมร ครั้งพระนครวัดนุ่ง ซึ่งปรากฏอยู่ในลายจำหลักศิลา ชั่วแต่ผ้ากว้างแคบกว่ากันตามที่มีมากน้อย พวกก็อยนั้นเห็นนั้นจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงเลยตั้งแต่ครั้งนั้นมาถึงจนเดี๋ยวนี้ ผู้หญิงนุ่งเตี่ยวชั้นในเรียกว่า “จะวัด” คือมีสายรัดบั้นเอวและผ้าทาบหว่างขา แล้วนุ่งหุ้มรอบเอวข้างนอกตามแต่จะมี เมื่อไม่มีผ้าก็ใช้ใบไม้เมื่อมีผ้าก็ใช้ผ้าเรียกว่า “ฮอลี” กว้างและแคบก็ตามมี อย่างแคบก็ปกลงมาเหนือเข่า ผู้หญิงก็มีผ้าห่มเรียกว่า “สิใบ” นี่ก็เห็นจะเติมขึ้นใหม่เมื่อใกล้เคียงกับชาวบ้านเขา”<br /> ปัจจุบันชาวเงาะรับเอาวัฒนธรรมการแต่งกายอย่างสังคมชาวเมืองแล้วมีการสวมเสื้อ ผู้หญิงก็นุ่งโสร่ง นุ่งกระโปรง พวกผู้ชายนุ่งโสร่งบ้าง ผ้าขาวม้าบ้างหรือนุ่งกางเกงสวมรองเท้าแบบชาวเมืองทั่วไป เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มเหล่านี้เขาได้รับแจกจากทางราชการหรือผู้มีกุศลจิตมอบให้ ชาวเงาะจึงได้นุ่งกางเกง ทรงมอส ทรงเดป อย่างเรา ๆ ทั่วไป แต่ผู้หญิงเท่าที่สังเกตดูพบว่ายังไม่รู้จักใช้ยกทรง อาจจะเป็นเพราะไม่มีคนแจกให้ หรือไม่มีทรงจะให้ยก เขาเล่าให้ฟังว่าเมื่อนุ่งผ้าอย่างชาวเมืองใหม่ ๆ รู้สึกคันไปหมด แต่ก็จำเป็นต้องนุ่งเพราะถ้าไม่นุ่ง นาย (ตำรวจ) จะจับ<br /> ถึงแม้ว่าเขาจะพัฒนาการแต่งการเป็นแบบสังคมชาวเมืองแล้วก็ตามแต่ลักษณะอนารยะก็ยังแสดงให้เห็นอยู่อย่างเด่นชัด คือ เสื้อยังสกปรก มอมแมม ไม่ค่อยซัก นาน ๆ จะซักสักครั้งหนึ่ง หรือบางคนก็นุ่งห่มกันจนขาด ไม่ได้รับการซักเลย เขาไม่รู้จักเก็บรักษาเสื้อผ้า เมื่อได้รับแจกชุดใหม่ก็จะถอดเก็บชุดเก่าซุกไว้ และไม่รู้จักสวมให้เข้าชุดกัน<br />เครื่องประดับเพื่อความสวยงาม<br /> เครื่องประดับสำหรับความสวยงามนั้น พวกผู้ชายไม่มีเครื่องประดับอื่นใดนอกจากเสื้อผ้า แต่ชาวเงาะที่ อำเภอทุ่งหว้า จังหวัดสตูล ดูจะพิเศษไปกว่าชาวเงาะในที่อื่น ๆ คือบางคนผูกนาฬิกาข้อมือ หิ้ววิทยุ ส่วนผู้หญิงออกจะพิถีพิถันในการแต่งตัวบ้าง แต่ก็ยังเป็นลักษณะชาวป่าดงอยู่นั่นเอง คือตกแต่งเรือนผมที่ดกดำ หยิกขมวดกลมติดหนังศีรษะหรือฟูเป็นกระเซิงด้วยใบไม้ ดอกไม้สีต่าง ๆ แต่ชอบสีแดง โดยเอามาเสียบติดกับผม เด็ก ๆ บางคนรู้จักใช้ กิ๊บสีแดงสีเขียว ยังไม่รู้จักใช้หวี อย่างเรา หรือถ้าใช้หวีอย่างเรา ๆ อาจจะหวีไม่ไปก็ได้เพราะปมหยิกฝอยมาก เขาจึงใช้หวีที่ทำขึ้นเองจากไม้ไผ่แกะเป็นซี่ห่าง แล้วตกแต่งลวดลายสวยงามสงบนผิวไม้ไผ่ ผู้หญิงบางคนทาแป้งหน้าขาว ใช้สีแดงจากดอกไม้ หรือบางคนใช้ลิปสติกที่หาซื้อ ไปจากตลาดเมื่อขายของป่าได้ทาปากทาแก้มให้เป็นสีแดง บางคนใส่ตุ้มหู สวมสร้อยทองชุบดูแพรวพราวไปเหมือนกันทั้งหมดที่กล่าวมานั้นคือลักษณะการแต่งกายของชาวเงาะในปัจจุบันนี้ ซึ่งได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมหมดแล้ว<br /> แต่ก่อนนั้นโดยปกติแล้วผู้หญิงแต่งกายกันตามแบบเงาะอย่างสวยงามหญิงที่ยังไม่มีสามีจะใช้ดอกไม้สีขาวทำตุ้มหู ใช้หวีไม้ไผ่เสียบผม หรือสวมกำไรข้อมือ ส่วนผู้หญิงที่มีสามีแล้วจะสวมสร้อยคอลูกประคำ แต่ปัจจุบันลักษณะเหล่านี้ได้สูญหายไปหมดสิ้น<br /> คำบอกเล่านี้ ตรงกับลักษณะการแต่งตัวของหญิงเงาะตามที่พระพุทธเจ้าหลวงทรงบรรยายไว้ ดังข้อความในพระราชนิพนธ์ว่า “ผู้หญิงเมื่อมีสามีสอดตุ้มหูใช้ดอกไม้โดยมาก ดอกจำปูน เป็นที่พึงใจกว่าอื่น เครื่องประดับนอกนั้น มีหวีทำด้วยไม้ไผ่ปล้องขนาดใหญ่ผ่ากลางจักเป็นซี่ แล้วแต่งลายด้วยเอาตะกั่วนาบและยอมสีบ้าง กำไรร้อยด้วยเม็ดมะกล่ำ ของเครื่องแต่งตัวเหล่านี้ อาจจะฝากมาแลกของซึ่งต้องการจากคนชาวบ้านได้<br /> การแต่งกายของซาไกในปัจจุบันรับวัฒนธรรมชาวเมือง มีการสวมเสื้อ นุ่งกางเกง นุ่งกระโปรง สวมรองเท้า เครื่องแต่งกายส่วนใหญ่ได้มาจากการแลกเปลี่ยนของป่าหรือแลกด้วยแรงงาน<br /><br /> <br /> ผู้ชาย ไม่ใช้เครื่องประดับ ผู้หญิงที่ยังไม่แต่งงานนิยมใช้ดอกจำปูน ทำเป็นตุ้มหู สวมสร้อยคอลูกประคำ ใช้หวีทำจากไม้ไผ่ การใช้หวีหมายถึงสาวบริสุทธิ์ สร้อยคอแสดงถึงผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว เด็ก ๆ ใช้กิ๊ปสีแดงหรือสีเขียวยังไม่รู้จักใช้หวี<br />อาหาร เป็นอาหารที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ไม่รู้จักการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ถึงแม้หมู่บ้านใกล้ๆ จะมีการเพาะปลูกให้เห็นก็ตาม อาหารหลักคือหัวเผือก หัวมัน ผลไม้ป่าตามฤดูกาล หน้าที่หาอาหารเป็นหน้าที่ของทุกคนช่วยกัน ผู้หญิงและเด็กจะหาเผือก มัน ผัก ผลไม้บริเวณใกล้ ๆ ทับ ส่วนผู้ชายจะออกหาอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ในป่า หน้าที่ปรุงอาหารเป็นของผู้หญิง เนื้อสัตว์ป่าได้แก่ เนื้อกวาง เก้ง หมูป่า ปลา ตะพาบน้ำ เต่า ยกเว้นเนื้องู เนื้อช้างและเสือเพราะถือกันว่ารังควานแรง เมื่อล่าสัตว์มาได้จะทำพิธีถอนรังควานหรือเซ่นไหว้วิญญาณทุกครั้งเพราะเชื่อว่าสัตว์ทุกชนิดมีวิญญาณของสัตว์สิงอยู่ ถ้าไม่ทำพิธีถอนรังควานวิญญาณของสัตว์ จะเข้าสู่ร่างกายผู้ล่าได้ในภายหลัง<br />การพักผ่อนหย่อนอารมณ์การแสดงและการละเล่น<br /> ซาไกมีเวลาในการพักผ่อนมากเพราะอุปนิสัยไม่ค่อยขยันทำงาน ชอบเสียงเพลงเสียงดนตรี โดยการหาไม้ไผ่ลำใหญ่ ๆ และกะลา มาทำเครื่องดนตรีไว้เล่น ผู้ชายออกล่าสัตว์เป็นกีฬาในยามที่ล่าสัตว์ใหญ่มาได้มาล้อมวงจับกลุ่มคุยกัน สถานที่พักผ่อนก็คือบริเวณใกล้ทับที่อาศัย<br />ลักษณะทางเศรษฐกิจ สังคม ครอบครัวและการปกครอง<br /> ด้านเศรษฐกิจ ซาไกไม่รู้จักการเก็บสะสม ไม่รู้จักจำนวนมาก จำนวนน้อย ดังนี้เศรษฐกิจในครอบครัวฝืดเคืองตลอดเวลา ซาไกไม่รู้จักการเพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ ปัจจุบันซาไกรู้จักใช้เงินแต่ไม่รู้คุณค่าของเงิน<br /> ด้านครอบครัวครอบครัวของซาไกจะมีพ่อแม่ลูก ไม่มีปู่ ย่า ตา ยาย อาจจะเนื่องมาจากอายุสั้นมักจะตายก่อนไม่ทันเข้าสู่วัยชรา ครอบครัวซาไกเป็นครอบครัวแบบจุดเริ่มต้น เมื่อลูกโตแต่งงานก็แยกไปตั้งครอบครัวใหม่ ซาไกมีลักษณะแบบผัวเดียวเมียเดียว ผู้ชายจะมีเมียใหม่ได้เมื่อผู้หญิงตายเท่านั้น ไม่มีการผิดลูกผิดเมียคนอื่น ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาในการทำงานสามีจะเป็นผู้หาที่อยู่อาศัยและจัดสร้างที่อยู่อาศัย ภรรยาเป็นผู้ดูแลบ้านและเลี้ยงดูลูก การมีเพศสัมพันธ์และการร่วมประเวณีของคู่สามีภรรยาจะไม่ทำกันในทับ แต่จะทำกันในป่าเรียกว่า “ขุดมัน” และไม่จำกัดเวลาไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืนตามความพอใจของเขา บริเวณที่สามีภรรยาใช้ร่วมประเวณีจะทำเครื่องหมายเรียกว่า “ปักกำ” ไว้ตรงปากทาง เป็นที่รู้กันว่าเป็นทางห้ามผ่าน หลังร่วมประเวณีแล้วจะลงเล่นน้ำในลำธารอย่างสนุกสนาน แล้วหาดอกไม้สีแดงทัดหูเดินกลับทับ<br /> ด้านสังคมและการปกครอง สังคมซาไกเป็นสังคมเล็ก ๆ คือครอบครัวและบ้านเท่านั้น สามีเป็นผู้นำสามีภรรยาเป็นผู้ตาม ให้เกียรติถนอมน้ำใจโดยการไม่นอกใจภรรยา เป็นระบบผัวเดียวเมียเดียว มีผู้ใหญ่บ้านปกครองเพียงคนเดียวโดยต้องเป็นผู้มีอายุมากที่สุดและเป็นคนที่ถูกเลือกขึ้นมา ถ้าลูกบ้านทำผิด ผู้ใหญ่บ้านมีหน้าที่ตักเตือน ไต่สวน ลงโทษ มีหน้าที่แบ่งงานให้ลูกบ้านเมื่อมีคนมาว่าจ้างให้ทำงาน โดยมีผู้ใหญ่บ้านเป็นประธาน ถ้างานใดยากหรือเป็นงานหนักผู้ใหญ่บ้านจะรับมาทำเอง หน้าที่ด้านปกครองครองชุมชนหัวหน้าหมู่บ้านจะต้องทำคือ เป็นประธานในการแต่งงาน เป็นผู้ไต่สวนคดี เป็นหัวหน้าในการย้ายที่อยู่และรับหน้าที่แบกสัมภาระหนักกว่าผู้อื่น<br /> การอนามัยและยารักษาโรค ซาไกไม่รู้จักระบบการแพทย์ ไม่รู้จักรักษาหรือส่งเสริมการอนามัยของตนเองและชุมชนของตนมากนัก จะปล่อยปละละเลยไปตามยถากรรม ซาไกเป็นโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจและทางเดินอาหาร โรคผิวหนังกันมาก แต่ที่น่าแปลกใจคือ ซาไกไม่ค่อยเป็นโรคมาลาเรียทั้งๆ ที่อาศัยอยู่ในแหล่งที่มีเชื้อไข้มาลาเรียชุกชุม ซาไกไม่นิยมใช้ยาแผนปัจจุบัน<br />ซึ่งพวกเขาเรียกว่า “ยาหลวง” แต่นิยมใช้ยาสมุนไพร จนได้รับการยกย่องว่า “ซาไกเจ้าแห่งสมุนไพร”<br /> ยารักษาโรค โดยปกติซาไกกลุ่มหนึ่ง ๆ จะมีหมอประจำกลุ่มอยู่ 1-2 คน คือหมอผู้หญิงมีหน้าที่ทำคลอด หมอผู้ชายทำหน้าที่เป็นแพทย์รักษาโรคทั่วไป ในบางกรณีอาจมีหมอคนเดียวเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายก็ได้ ทำหน้าที่เป็นทั้งผดุงครรภ์ ทำคลอดและเป็นแพทย์รักษาโรคทั่วไป เมื่อมีการเจ็บป่วยเกิดขึ้น หมอก็จะวินิจฉัยหาสาเหตุของโรค ซึ่งในความคิดของซาไกเชื่อว่าเหตุแห่งการเจ็บป่วยเกิดจากการกระทำของผี และเกิดจากเชื้อโรค หมอก็จะรักษาโดยใช้เวทย์มนต์คาถา หรือทำ “ซาโฮส” โดยหมอจะใช้หมากพลูจำนวน 4 คำ มาเคี้ยว โดยมีความหมายดังนี้<br /> คำที่ 1. หมายถึง การเฮิบ ( ผู้ศักดิ์สิทธิ์แห่งป่า )<br /> คำที่ 2. หมายถึง บาตุ๊ ( ผู้ศักดิ์สิทธิ์แห่งก้อนหิน )<br /> คำที่ 3. หมายถึง อีฮุ ( ผู้ศักดิ์สิทธิ์แห่งต้นไม้ใหญ่ )<br /> คำที่ 4. หมายถึง กาเยาะติเอะ ( ผู้ศักดิ์สิทธิ์แห่งแผ่นดิน )<br /> หมากพลูทั้งสี่คำนี้ หมอจะเคี้ยวพร้อมกันจนแหลกแล้วพ่นลงบนอวัยวะส่วนที่เจ็บปวด 3 ครั้ง ก่อนจะพ่นแต่ละครั้งมีคาถาที่ต้องเสกว่า “ ปะลัก เอว อะเบ็ด” เมื่อทำซาโฮสให้ผู้ป่วยแล้วหมอก็จะจัดหายาสมุนไพรมารักษาโรคตามอาการต่อไป<br /> เนื่องจากถิ่นที่อยู่อาศัยเป็นป่าเขตร้อนชื้น จึงมีพืชสมุนไพรอุดมสมบูรณ์ ชาวซาไกรู้จักนำพืชสมุนไพรมาใช้เพื่อการบำรุงร่างกายและรักษาโรค ประมาณ 20 ชนิด โดยจำแนกได้ 2 ประเภท ดังนี้<br /> ประเภทที่หนึ่ง ยาสำหรับสตรี มีหลายชนิดเช่น<br /> 1. ฮ่ำ เป็นยาคุมกำเนิดสำหรับสตรี นิยมกินกันหลังคลอดทุกคน โดยจะกินในขณะอยู่ไฟ<br /> สรรพคุณ เป็นยาคุมกำเนิด ถือเป็นยาร้อนช่วยให้เลือดที่ค้างหลังคลอดถูกขับออกมาง่ายขึ้น อันจะมีผลต่อไปในระยะยาว ช่วยให้ประจำเดือนหลังคลอดลูกมาเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ จนกว่าต้องการจะมีลูกคนใหม่ จึงกินยาที่ช่วยให้มีลูกง่าย<br /> วิธีกิน ใช้ส่วนต้น นำมาต้มกับน้ำ กินวันละ 4-5 แก้ว กินตั้งแต่หลังคลอด 2-3 วัน จนครบ 40 วัน จึงหยุดได้<br /> 2. กาเลาะ <br /> สรรพคุณ เป็นยาขับเลือดหรือขับน้ำคาวปลา สำหรับหญิงหลังคลอด ยานี้เป็นยาแก้ร้อนใน สรรพคุณเช่นเดียวกับฮ่ำ<br /> วิธีกิน ใช้ส่วนต้นจำนวนเล็กน้อย นำมาต้มกินเพียงครั้งเดียวก็เพียงพอแล้ว เพราะถ้ากินมากน้ำนมจะแห้ง<br /> 3. กะจิติเมาะ<br /> สรรพคุณ เป็นยาบำรุงสำหรับสตรี ช่วยให้ร่างกายแข็งแรงหลังคลอด อีกทั้งยังช่วยให้มดลูกเข้าอู่เร็วขึ้น<br /> วิธีกิน ใช้ส่วนเถา (เป็นเถาไม้เลื้อย) นำมาต้มน้ำกินร่วมกับกาเลาะ<br /> 4. มูดุส<br /> สรรพคุณ เป็นยาคุมกำเนิดชนิดถาวรสำหรับสตรี จะทำให้ไม่มีลูกเด็ดขาด<br /> วิธีกิน ใช้ส่วนหัวนำมาต้มกินกับน้ำวันละ 4-5 แก้ว กินภายหลังคลอดแล้ว 1 เดือน เมื่อครบ 2 เดือน ก็หยุดได้<br /> 5. ยังออล<br /> สรรพคุณ เป็นยาที่กินแล้วทำให้มีลูก<br /> วิธีกิน ผู้หญิง (ภรรยา) ใช้ส่วนต้นมาต้มกินกับน้ำ กินวันละ 2-3 แก้ว กินช่วงเวลามีประจำเดือน เมื่อประจำเดือนหมดก็หยุดกิน ผู้ชาย (สามี) เริ่มกินพร้อม ๆ กับภรรยา โดยกินขนาดเท่ากันไปเรื่อย ๆ จนแน่ใจว่าภรรยาเริ่มตั้งครรภ์ก็หยุดกินได้<br /> 6. ยายเอ็ง มีสรรพคุณและวิธีกินเหมือนฮ่ำ<br /> 7. อันจง<br /> สรรพคุณ เป็นยาช่วยให้คลอดง่าย ใช้กินเวลาเจ็บท้องคลอด<br /> วิธีกิน นำส่วนต้นมาล้าง ทุบแช่น้ำเย็นไว้ประมาณ 2-3 นาที แล้วจึงกินเวลาที่มีอาการเจ็บท้องคลอด นำบางส่วนมาลูบบริเวณศีรษะด้วย ซึ่งมีความเชื่อว่าจะทำให้คลอดบุตรง่าย<br /> 8. ตังยับเยา <br /> สรรพคุณ เป็นยาช่วยให้มีน้ำนมมาก<br /> วิธีกิน นำส่วนต้นมาตำ แล้วนำมานวดที่บริเวณเต้านมทั้ง 2 ข้าง เพื่อช่วยให้มีน้ำนมมาก<br /> 9. มะฮึ่ม<br /> สรรพคุณ เป็นยาแก้ประจำเดือนไม่ดี ไม่ปกติ ปวดประจำเดือน มีรสเผ็ดร้อน<br /> วิธีกิน ใช้ส่วนรากมาต้มน้ำกินวันละครั้ง เช่น ถ้ามีประจำเดือนมา 5 วัน แล้วมีอาการปวดท้อง ให้ทดลองกิน 2 วันก่อน ถ้าไม่ปวดท้องก็หยุดกิน<br /> ประเภทที่สอง ยารักษาโรคทั่วไป มีหลายชนิดเช่น<br /> 1. ชูดง หรือว่านร้อยปีในภาษาไทย<br /> สรรพคุณ เป็นยาแก้ปวดบั้นเอว<br /> วิธีกิน ใช้ส่วนรากนำมาต้มกินวันละ 2-3 ครั้ง หรือกินต่างน้ำก็ได้<br /> หมายเหตุ ผู้ชายที่ต้องการให้มีสมรรถภาพทางเพศสูง ก็จะกินยา “มักม็อก” โดยนำชูดงและมักม็อกมาควั่นบาง ๆ แล้วดองลงในเหล้า ซึ่งเชื่อว่ากินแล้วสมรรถภาพทางเพศจะดี<br /> 2. บักกุกะเฮิบ<br /> สรรพคุณ เป็นยาแก้โรคหอบหืด ชาวซาไกมีความเชื่อว่าโรคหอบหืด เกิดจากร่างกายกระทบกับอากาศเย็นจนทำให้ไอเป็นประจำ แล้วเป็นไข้หวัด ต่อมาก็กลายเป็นโรคหอบหืด หรือกินอาหารที่เย็น ได้แก่ แตง ฟัก ถั่วฝักยาว หน่อไม้ ก็อาจทำให้เกิดโรคหอบหืดได้ หรืออาจทำให้ปวดหลัง<br /> วิธีกิน ใช้ส่วนราก ต้มน้ำกินวันละ 2-3 ครั้ง<br /> 3. อะเวยกูญิต<br /> สรรพคุณ เป็นยารักษาโรคไข้เหลือง<br /> วิธีกิน ใช้ส่วนรากนำมาต้มน้ำ กินวันละ 2-3 ครั้ง หรือนำมาต้มเพื่อใช้สำหรับอาบ เคยนำมารักษาโดนใช้ยาเพียง 2 มัดก็หายขาด (มัดละประมาณ 1 กำมือ)<br /> 4. กรีไว<br /> สรรพคุณ ยาแก้ท้องเสีย เป็นระดูขาว โรคกระเพาะอาหารอักเสบ โรคไส้เลื่อน โรคริดสีดวงทวาร<br /> วิธีกิน นำส่วนเถามาต้มน้ำกินวันละ 2-3 ครั้ง<br /> 5. เบอยั่น <br /> สรรพคุณ เป็นยาแก้โรคลมพิษ<br /> วิธีกิน ใช้ส่วนต้นนำมาต้มน้ำกินวันละ 2-3 ครั้ง<br /> 6. ตูโยะลางิ<br /> สรรพคุณ เป็นยาแก้ไขมาลาเรีย<br /> วิธีกิน ใช้ส่วนต้นมาต้มน้ำกินวันละ 2-3 ครั้ง กินจนไม่มีไข้<br /> 7. สะดวง<br /> สรรพคุณ เป็นยาแก้ไข้หวัด โรคไซนัส<br /> วิธีกิน ใช้ส่วนหัวของสะดวง นำมาฝนแล้วทาบริเวณหน้าผาก สองข้างจมูกและที่รูจมูก<br /> 8. กาลัง <br /> สรรพคุณ เป็นยารักษาโรคนิ่ว<br /> วิธีกิน ใช้ส่วนต้นมาต้มน้ำกินวันละ 2-3 ครั้ง<br /> 9. บอฮอล<br /> สรรพคุณ เป็นยาแก้โรคเหน็บชา<br /> วิธีกิน ใช้ส่วนต้นมาต้มกินวันละ 2-3 ครั้ง<br /> 10. ชามังตะบาน<br /> สรรพคุณ เป็นยาแก้โรคมะเร็งที่เจ็บในอก<br /> วิธีกิน ใช้ส่วนหัวมาต้มน้ำกินวันละ 2-3 ครั้ง ถ้าเป็นที่ผิวหนังใช้ทาแทน<br /> 11. บีโซล<br /> สรรพคุณ เป็นยาแก้ฝี<br /> วิธีกิน นำใบมาตำแล้วโปะบริเวณที่เป็นฝี จะช่วยลดอาการอักเสบ<br />สิ่งประดิษฐ์ของชาวซาไก<br /> สิ่งประดิษฐ์ที่เป็นอาวุธ<br />กระบอกตุด เป็นอาวุธประจำกายของชุมชนเผ่าซาไกชนิดหนึ่งที่ผู้ชายทุกคนต้องมีติดตัวตลอดเวลา ใช้เป็นเครื่องมือในการล่าสัตว์และเป็นอาวุธป้องกันตัว กระบอกตุดเป็นชื่อเรียกภาษาไทยภาคใต้ คำว่า “ตุด” เรียกในชื่อภาษาซาไกว่า “ บอเลา” ทำจากไม้ใผ่ชนิดหนึ่งที่เรียกว่าไม้ซาง เป็นไม้ไผ่ที่เป็นปล้องยาวและตรง วิธีทำชาวซาไกจะนำเอาไม้ไผ่หรือไม้ซางยาวประมาณ 1 วา มาทะลุปล้อง แล้วตัดให้ตรง ปอกเปลือกนอก ตกแต่งเปลือกชั้นในทำเป็นตัวกระบอก(บอเลา) แล้วนำไม้ซางอีกหนึ่งอัน มาทะลุปล้องแล้วสวมทับกระบอกเลาอีกชั้นหนึ่ง ไม้ซางที่เป็นกระบอกชั้นจะแกะสลักลวดลายสวยงาม<br />สิ่งประดิษฐ์ที่เป็นเครื่องดนตรี<br />เครื่องบันเทิงที่ทำให้เกิดเสียงดนตรี มี 8 ชนิด และไม่มีชื่อเรียกแต่เรียกชื่อรวมกันว่า “บาแตช” ประกอบด้วย<br />ชนิดที่ 1 หรือ บาแตช 1 มีลักษณะเป็นกระบอกกลมทำจากไม้ไผ่ขนาดใหญ่ ยาวประมาณ 1 เมตร ทะลุข้อหมดทุกข้อ เว้นแต่ข้อสุดท้ายไม่ต้องทำให้ทะลุ แต่เจาะรูกว้าง ขนาดปลายนิ้วก้อย<br />วิธีเล่น คือใช้ในไม้ใหญ่ ๆ ตีทางปากกระบอกด้านที่เจาะทะลุข้อ หรือปล้องทั้งหมด จะเกิดเสียงดัง บึง.....บึง.....บึง....<br />ชนิดที่ 2 หรือ บาแตช 2 ทำจากไม้ไผ่ ยาวประมาณ 2 ฟุต ปลายข้างหนึ่งตัดหน้าตรง อีกข้างหนึ่งตัดในลักษณะเฉียง ทะลุข้อไม้ไผ่หมดทุกข้อ<br />วิธีเล่น ใช้ฝ่ามือใหญ่ ๆ ตีทางกระบอกด้านที่ตัดตรง จะให้เสียงซึ่งแหลมกว่าบาแตช 1 เล็กน้อย<br />ชนิดที่ 3 หรือบาแตช 3 ชนิดนี้ชาวบ้านทางปักต์ใต้ของไทย เรียกว่า “โทนเงาะ” หรือกลองจำปี ทำจากไม้ไผ่ขนาดกลางตัดมา 1 ปล้อง ให้มีข้อต่อติดอยู่ทั้ง 2 ข้าง วัดเข้ามา 1 นิ้ว แล้วใช้มีดคมเฉือนผิวไม้ไผ่ทิ้งตลอด กว้างประมาณ 1 นิ้ว เจาะรูเส้นผ่าศูนย์กลาง ½ เซนติเมตร ไว้ตรงกลางท่อนไม้ไผ่ ระหว่างรอยที่ถูกเฉือนทิ้งไปนั้น แล้วใช้ปลายมีดกรีดแงะเอาผิวไม้ไผ่ให้เป็นเส้นเล็ก ๆ ยาวตลอดแนวรอยผิวที่ถูกเฉือนทิ้งทั้งสองข้าง ก็จะได้เส้นไม้ไผ่ 2 เส้นขนานกัน แล้วใช้หวายมัดปลายของปล้องไม้ไผ่ทั้งสองข้างให้แน่นป้องกันไม่ให้เส้นไม้ไผ่สองเส้นนี้ฉีกขาดออกจากปล้อง แล้วใช้หมอนรองเส้นไม้ไผ่ทางด้านปลายทั้งสองข้าง ต่อจากนั้นใช้ไม้ไผ่แผ่นบาง ๆ กว้างประมาณ 1 นิ้ว ยาวประมาณ 1.5 นิ้ว ผ่าเล็กน้อยระหว่างกลางตามแนวนอนแล้วนำไปเสียบไว้ระหว่างเส้นไม้ไผ่ ให้อยู่บนรูที่เจาะไว้บนผิวไม้ไผ่ด้านตรงกันข้ามแบบเดียวกันนี้<br />วิธีเล่น เครื่องดนตรีชนิดนี้ คือใช้ตีตรงแผ่นไม้ไผ่บาง ๆ ที่อยู่บนรูกลางปล้องไม้ไผ่ เสียงจะสูงหรือต่ำก็แล้วแต่ความตึงหย่อนและขนาดเล็กใหญ่ของเส้นไม้ไผ่ที่ใช้หมอนรอง<br />ชนิดที่ 4 หรือ บาแตช 4 ทำจากไม้ไผ่ ปล้อง ขนาดเดียวกันกับกลอง จำปี ปลาย ด้านหนึ่งตัดให้ติดข้อ อีกด้านหนึ่งไม่ให้ติดข้อ ด้านนี้ผ่าผิวไม้ไผ่แล้วสอดกาบหมากที่ตัดให้กลมขนาดพอดี กับวงกลมของปล้องไม้ไผ่<br />วิธีเล่น ใช้มือตีบนกาบหมากนั้น<br />ชนิดที่ 5 หรือ บาแตชที่ 5 ทำจากไม้ไผ่ ขนาดเท่าข้อมือยาวประมาณ 1 ฟุต ตัดไม่ไผ่ให้มีข้ออยู่ห่างจากปลาย ด้านหนึ่งเล็กน้อยพอจับถือได้ เจาะ 2 รู ให้อยู่ห่างข้อประมาณ 1 นิ้ว ห่างจากรูเล็กน้อย ให้ปาดไม้ไผ่ให้เป็นรูซ่อม 2 ขา<br />วิธีเล่น ใช้ด้านที่เป็นรูซ่อมนี้เคาะกับฝ่ามือ จะให้เสียงดัง หวึง...หวึง...หวึง...<br />ชนิดที่ 6 หรือ บาแตชที่ 6 มีลักษณะคล้ายไม้กรับในเมืองไทย วิธีทำ ทำจากไม้ไผ่ 2 อัน ขนาดใหญ่พอจับถือได้ถนัด ยาวประมาณ 1 ฟุต<br />วิธีเล่น ใช้ตีให้มีเสียงดังกรับ...กรับ...กรับ...<br />ชนิดที่ 7 หรือ บาแตชที่ 7 วิธีทำ ทำจากกะลาหรือเศษวัสดุอื่นๆ ตามแต่สะดวก<br />วิธีเล่น ใช้เป็นเครื่องเคาะให้จังหวะ เช่นเดียวกับ บาแตช 6 ไม้กรับ นั่นเอง<br />ชนิดที่ 8 หรือ บาแตชที่ 8 วิธีทำ ทำจากไม่ไผ่ 1 ปล้อง ความยาว ประมาณ 2 ฟุต ตัดให้ติดข้อทั้งสองด้าน เจาะรูขนาดปลายนิ้วก้อยลงบนข้อไม้ไผ่ทั้ง 2 ด้าน แล้วใช้หวายขนาดเล็กมัดขึงให้ตึงตลอดหัวท้าย<br />วิธีเล่น ใช้นิ้วดีดหวายให้กระทบ กับผิวไม้ไผ่ จะได้เสียงดัง แต๊ก.. แต๊ก..แต๊ก...</div><div align="left"><br /><span style="color:#ff6600;">วัฒนธรรมความเชื่อที่เป็นเอกลักษณ์ของชาวซาไก<br /></span> ชาวซาไกมีความเชื่อในสิ่งเหนือธรรมชาติ และเกรงกลัวต่อสิ่งที่เกิดขึ้นจากปรากฏการณ์ธรรมชาติ เชื่อในไสยศาสตร์เวทมนตร์ และข้อห้ามทางสังคม ที่พวกเขากำหนดขึ้น ลักษณะของความเชื่อที่ปรากฏอยู่ในสังคมของชาวซาไก สรุปได้ดังนี้<br /><br />1. ความเชื่อเรื่องโชคลาง<br />1) ซาไกเชื่อว่า เมื่อเดินป่าผ่านบริเวณใดเกิดขนลุกขนพองใจคอสั่น แสดงว่าบริเวณนั้นเจ้าที่แรง ห้ามไปทำร้ายสัตว์หรือตั้ง”ทับ”ที่อยู่อาศัย เพราะจะถูกผีเจ้าที่ลงโทษถึงตาย<br />2) ซาไกเชื่อว่า ถ้าเริ่มออกเดินทางบังเอิญสะดุดหกล้มลงห้ามเดินทางอีก ถ้าเดินทางอีกต้องเปลี่ยนทิศทางที่จะไป มิฉะนั้นจะเป็นอันตราย<br />3) ถ้าเข้าป่าล่าสัตว์ห้ามพูดว่าจะไปทิศทางใด ถ้าเผลอพูดออกไปแล้วให้เปลี่ยนทิศทางเดิน<br />4) ถ้าจะเข้าป่าล่าสัตว์อะไร ให้พูดเรื่องสัตว์หรือเรียกชื่อสัตว์ชนิดนั้น จะสามารถล่าได้ตามที่พูด<br />5) เข้าป่าล่าสัตว์ห้ามพูดถึงสัตว์ร้าย<br />6) ถ้ามีคนมาเอ่ยปากขอลูกไปเลี้ยง เชื่อว่าเป็นลางตายของลูกคนนั้น<br />2. ความเชื่อเรื่องเวทมนต์คาถา<br />1. ซาไกเชื่อว่า เวทมนตร์คาถาใช้รักษาโรคได้ หมอผู้รักษาโรคจะเสกหมากพลู แล้วเคี้ยวพ่นอวัยวะที่เจ็บปวด เรียกวิธีรักษาว่าทำ “ซาโฮซ”<br />2. ซาไกมีเวทมนตร์กันผีว่า “ตก ตกโล่ยซะลีโตย ฮะลีเวาะ มะนาเยาะ จะปะซุล จะเปรซ” หมอจะท่องบ่น เวทมนตร์และเสกเป่าไปที่หัวไพล แล้วมอบหัวไพลให้เจ้าของศพเคี้ยว พ่นลงบนศพ เชื่อว่าผีจะไม่มาหลอกหลอน<br />3. ซาไกเชื่อว่าเวทมนตร์ป้องกันผี หรือสัตว์ร้าย เมื่อออกจากทับไปค้างคืนในป่าได้ คือพวกเขาจะเสกก้อนหิน โยนไปรอบที่นอน ทั้งสี่ทิศ ภูติผีสัตว์ป่า จะไม่มารังควาน<br />4. ซาไกเชื่อว่าเวทมนตร์ใช้ในการทำคลอดได้ โดยหมอผู้ทำคลอดจะว่ามนต์ดังนี้ “ ตุ้งตุงฮู ลีโตลีปิโฮ คามาซาไกนิฮิฮุด มาตีซิมู” คำว่ามนต์ หมายถึง การเสกคาถาแล้วเป่าลงไปที่ท้องของมารดาที่จะทำการคลอด เชื่อว่าจะคลอดง่ายและไม่เจ็บ<br />5. ซาไกเชื่อว่าเวทมนตร์ที่ใช้ เรียกผีพรายที่ชื่อว่า “เซมังงัด” ให้มาสิงสู่อยู่ในน้ำมันเสน่ห์ หรือให้ เซมังงัดไปเข้าสิงคนอื่นให้คลั่ง หรือเป็นบ้าได้<br />3. ความเชื่อเรื่องวิญญาณและภูตผี<br />1. ซาไกเชื่อว่า คนตายไปแล้ว วิญญาณจะเหลืออยู่ และหลอกหลอนญาติพี่น้องได้ ดังนั้นเมื่อมีคนตาย พวกเขาจะย้ายทับไปอยู่มี่อื่นเมื่อฝังศพเสร็จ<br />2. ซาไกเชื่อว่าผีจะสิงอยู่ในต้นไม้ใหญ่ เพราะเมื่อฝังศพเสร็จแล้วหมอผี จะนำวิญญาณไปไว้ที่ต้นไม้ และเชื่อว่าวิญญาณ จะอยู่ที่ต้นไม้นั้นต่อไป<br />3. ซาไกเชื่อว่า สัตว์เดินดินซึ่ง พวกเขาเรียกว่า”สัตว์ล่าง” จะมี “รังควาน” แรง เมื่อยิงรังควาน หมายถึง การผูกพยาบาทสัตว์นั้นๆ ตายลง จะต้องรีบทำพิธีถอนรังควาน หรือเรียกว่า ปัดรังควาน หรือถอนพยาบาท คือการส่งให้วิญญาณไปเกิดใหม่ หรือการขอขมา ต่อวิญญาณของสัตว์นั้นๆ นั่นเอง ถ้าไม่ทำพิธีถอนรังควาน วิญญาณจะเข้าสิงในร่างของผู้ล่าสัตว์ แล้วผู้นั้นจะมีอาการกริยาเหมือนสัตว์นั้น จะวิ่งเข้าป่าและถูกสัตว์ชนิดเดียวกันทำร้ายถึงตายได้<br />4. ซาไกเชื่อว่าสัตว์ทุกชนิดเป็นบริวารของผีชื่อ โต๊ะปาวั่ง ดังนั้น ก่อนยิงสัตว์ทุกครั้งจะต้องเอ่ยคำขอจากโต๊ะปาวั่ง เสียก่อน<br />5. ซาไกเชื่อว่าผีเป็นวิญญาณอยู่ในที่มืดๆ ทุกแห่ง พวกเขาจึงกลัวความมืด และต้องก่อไฟไว้ในทับตลอดเวลา ดับไม่ได้ เชื่อว่าผี เป็นวิญญาณ 4 จำพวก<br /> 5.1 วิญญาณสัตว์ที่ตายไปแล้ว เรียกว่า “วิญญาณ บาดี” เชื่อว่าวิญญาณนี้เข้าสิงใครแล้วจะทำเสียงคล้ายสัตว์นั้นๆ กิริยาท่าทางก็คล้ายสัตว์นั้นๆ<br /> 5.2 วิญญาณของคนที่ยังไม่ตาย หรือเจตภูต แต่จะออกไปเที่ยวขณะที่คนผู้นั้นนอนหลับ เรียกว่า “วิญญาณโรย)<br /> 5.3 วิญญาณที่ออกจากร่าง คนตายล่องลอยไปจนมีที่เกิดใหม่ ถ้าไม่มีที่เกิดเข้าครรถ์ผู้หญิงคนใดไม่ได้ ก็จะเที่ยวหลอกหลอน และทำอันตรายได้ เรียกว่า “วิญญาณเยา”<br /> 5.4 วิญญาณจำพวก ผีพราย ซึ่งหมอผี หรือผู้มีอาคมสามารถ เรียกมาใช้ให้สิงสู่อยู่ในน้ำมันเสน่ห์ หรือเสกเป่าให้เข้าร่างของผู้ใดก็ได้ เรียกว่า “วิญญาณเซมังงัด”<br />4. ความเชื่อเรื่องสุขภาพ<br />ชาวซาไกเชื่อว่าผู้หญิงแม่ลูกอ่อนให้กินได้เฉพาะกล้วยไข่ ปลาเค็ม เกลือ แต่ห้ามกินหัวเผือก ขนุน กล้วย หิน กล้วยน้ำหว้า<br />5. ความเชื่อเรื่อง การรักษาความบริสุทธิ์ของหญิงสาว<br />สังคมชาวซาไก เชื่อในการรักษาพรหมจรรย์ของผู้หญิงอย่างเคร่งครัด จะต้องรักษาความบริสุทธิ์ไว้ไห้ชายเพียงคนเดียวเท่านั้น และจะไม่ล่วงเกินได้เสียกันก่อนแต่งงาน ถ้าเพียงแต่ผู้ชายหนุ่มถูกเนื้อต้องตัวหญิงสาวเข้าเท่านั้น ผู้หญิงจะยึดถือเสมือนว่าผู้ชายผู้นั้นเป็นสามีของนางแล้ว<br />6. ความเชื่อเรื่องสัญลักษณ์<br />ชาวซาไกจะเชื่อเรื่องรูปสัญลักษณ์ ซึ่งส่วนใหญ่จะพบเห็นจากธรรมชาติ และเป็นเรื่องเกี่ยวกับเพศ หรือความรักระหว่างชายกับหญิง การเกี้ยวสาว เช่น “หวีประดับผม” มีความหมายว่า ยังเป็นสาวบริสุทธิ์ยังไม่ได้แต่งงาน ส่วนผู้หญิงที่แต่งงานแล้วจะไม่ใช้หวีประดับผม “ปักกำ” มีความหมายว่าเป็นบริเวณที่สามี-ภรรยากำลังแสดงบทรักด้วยการร่วมประเวณีกันอยู่ ห้ามผู้หนึ่งผู้ใดเข้าใกล้ “ดอกจำปูน สีขาว” มีความหมายว่าเป็นผู้ชาย “ดอกฮาปอง สีแดง” มีความหมายว่า ผู้หญิงและความรัก “เล็บมือ” มีความหมายว่ากล้าหาญ ต่อสู้ หรือดุร้าย “ใบไก่เถื่อน” มีความหมายว่าผู้ชายพาผู้หญิงหนี คือ การไปครองคู่กันตามลำพัง ไม่ได้แต่งงานหรือได้รับอนุญาตจากผู้ใหญ่<br />7. ความเชื่อเรื่องความฝัน<br /> ชาวซาไกเชื่อว่า ความฝัน เป็นลางบอกเหตุ หรือบอกโชคลางในวันข้างหน้า เช่น ผู้หญิงฝันว่ามีผู้นำอาเล็บเสือมาให้ ทำนายว่าจะมีสามี ถ้าผู้ชายฝันว่าล่าหมูได้จะได้ภรรยา ถ้าฝันว่ายิงสัตว์ได้จะเป็นลางดี ถ้าฝันว่าถูกสัตว์ทำร้ายจะเป็นลางร้าย เป็นต้น<br />8. ความเชื่อเรื่องข้อห้าม หรือกฏเกณฑ์บางประการ<br /> ชาวซาไกมีข้อห้ามสำหรับ สามี-ภรรยา ว่าห้ามไม่ให้ร่วมประเวณีกันใน”ทับ” ห้ามไม่ให้ลูกสะใภ้หุงข้าว เผามันให้พ่อสามีกิน แม้เวลาป่วยไข้ก็ไม่ได้ ห้ามลูกสะใภ้นั่งสนทนาวงเดียวกันกับพ่อสามี ถ้าจำเป็นต้องนั่งวงเดียวกัน จะต้องนั่งหันหลังให้กัน และมีผู้อื่นนั่งกั้นกลาง<br />วัฒนธรรมประเพณีที่เป็นเอกลักษณ์ของชาวซาไก<br /> ประเพณีการเกิด<br /> สังคมของชาวซาไก ถือว่าผู้เป็นแม่จะให้กำเนิดทารกนั้นมีความสำคัญมาก ผู้มีบาบาทในการช่วยเหลือผู้เป็นมารดา คือหมอตำแย ซึ่งพวกเขาเรียกว่า “โต๊ะดัน” หรือ “โต๊ะบีดัน” ในระยะเจ็บท้องใกล้คลอดนั้น โต๊ะดัน จะนำยาชนิดหนึ่งมาทาบริเวณหน้าท้องมีการนวดท้อง เพื่อช่วยให้คลอดง่าย และขณะรอ ให้เด็กคลอดออกมา โต๊ะดันจะว่าคาถาดังนี้ “ ตุ้งตุงฮู ฮีโตลีบีโฮ ตามาซาไก ริฮิฮุด มาตีซิมู” เมื่อคลอดแล้ว โต๊ะดันจะเตรียมน้ำอุ่น สำหรับอาบน้ำให้ทารก น้ำอุ่นนี้จะเป็นน้ำอุ่นผสมยากับใบเตยให้มีกลิ่นหอม เมื่ออาบน้ำเสร็จ แล้วอุ้มเด็กไปห่อด้วยผ้า และวางบนแคร่ ถ้าเด็กมีอาการชัก โต๊ะดันจะใช้ หัวไพล ไปปิดที่หูของแม่ เชื่อว่าอาการชักจะหายไป และจะตัดสายสะดือ ด้วยเครื่องมือทำจากไม้ไผ่บางๆ การตัดสายสะดือให้เหลือยาวเลยขาของเด็กเล็กน้อย คล้ายคลึงกับวิธีการของชาวไทย มุสลิมภาคใต้ทั่วไป แม่จะเป็นผู้เลี้ยงดูเด็ก ด้วยน้ำนมแม่ แต่ถ้าแม่ไปทำงาน โต๊ะดันจะเลี้ยงเด็กด้วยผลไม้จำพวก กล้วย เผือก มัน<br /> ประเพณีการแต่งงาน<br /> สังคมของชาวซาไก ไม่มีการจัดพิธีแต่งงานระหว่างหนุ่ม-สาว แต่จะใช้วิธีการง่ายๆ ในการที่จะอยู่ครองคู่เป็นสามี-ภรรยากัน คือ เมื่อชายหนุ่มหญิงสาวพอใจกันฝ่ายหนุ่มก็ให้พ่อแม่ หรือผู้ใหญ่ฝ่ายตน ซึ่งอาจอยู่ทับติดกันกับฝ่ายหญิงไปสู่ขอ ถ้าผู้ใหญ่ฝ่ายหญิงตกลงก็ให้มีการกินเลี้ยงกัน ในการกินเลี้ยงนั้นฝ่ายหนุ่มต้องแสดงความสามารถในการล่าสัตว์มาเลี้ยงเพื่อนฝูง และฝ่ายหนุ่มต้องเป็นผู้สร้างทับที่อยู่อาศัย เมื่อกินเลี้ยงเสร็จ สร้างทับเสร็จแล้ว เจ้าบ่าวเจ้าสาวไปยังทับของตน และอยู่กินกันอย่างสามี-ภรรยา เท่านั้นเอง<br /> ประเพณีการตาย<br /> ลักษณะประเพณีการตายของชาวซาไก เมื่อสมาชิกในกลุ่มคนใดคนหนึ่งถึงแก่กรรมลง ญาติพี่น้องของผู้ตายจะเป็นหญิงหรือชายก็ได้จะต้องไปขุดหลุมฝังศพ กว้างประมาณ 2 ศอก ลึกประมาณ 3 ศอก ยาวประมาณ 3 ศอก ที่ตั้งของหลุมจะตั้งอยู่บนเนินใกล้ๆ ลำธาร ห่างจากที่พักประมาณ 100 เมตร หลังจากขุดหลุมแล้วเขาจะตัดไม้ไผ่รองพื้นด้านล่าง โดยวางไม้ไผ่เรียงลำดับให้เรียบร้อย สวยงาม ให้หัวไม้ไผ่หันไปทาง ทิศตะวันตก และวางเป็นแนวเรียงขนานกัน ต่อมาจะตัดไม้ไผ่มาวางเรียงตามขวางกับแนวแรกเป็นชั้นไม้ไผ่ชั้นที่ 2 เมื่อตกแต่งเรียบร้อยแล้ว หมอผีจะนำเอาหัวไพล ขนาดเท่านิ้วก้อยมาปลุกเสก ส่งให้ญาติของศพ เคี้ยวจนละเอียดแล้วพ่นลงในหลุมแล้ว ญาติของผู้ตายจะยกศพลงหลุม เมื่อเสกหัวไพลเรียบร้อยแล้ว แล้ววางศพให้หัวไปทางทิศตะวันตก หันหน้าไปทางทิศใต้ ศพจะนอนในลักษณะงอคู้ เมื่อวางศพเสร็จแล้วนำ ไม้ไผ่ซีกมาวางบนศพอีกครั้งหนึ่ง โดยให้ปลายปักลงดินด้านหนึ่ง และพาดปากหลุมอีกด้านหนึ่งไม้ไผ่ที่ใช้จะตัดจากบริเวณใกล้ๆ กับหลุมฝังศพ ศพที่จะนำลงหลุมนั้นจะห่อด้วยผ้า ซึ่งเป็นผ้าของผู้ตายทั้งหมดที่มีอยู่ และต้องห่อให้มิดชิด พับเข่าศพให้คู้เข้ามา แล้วนำไปวางบนแคร่ไปยังหลุมที่เตรียมไว้ เมื่อยกศพลงหลุมแล้ว แคร่นั้นจะถูกตัดออกให้พอดีกับหลุมวางพาดบนปากหลุมให้เรียบร้อยปูใบไม้ในแนวขวางกับยแคร่ เมื่อปูใบไม้ตลอดหลุมแล้วก็จะให้ญาติผู้ใหญ่ของผู้ตายขึ้นไปย่ำบนปากหลุมให้แน่น และให้สร้างเพิงหมาแหงนไว้รอบๆ หลุมศพ เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าสร้างบ้านให้ ศพจะได้ไม่ต้องเดือดร้อน เรื่องที่อยู่อาศัยของศพ เพราะมีบ้านอยู่แล้ว ตกตอนกลางคืนพ่อแม่ของผู้ตายต้องไปก่อไฟไว้บนหลุมศพเพื่อให้ความอบอุ่นแก่ศพ<br /> พิธีสวดศพ จะกระทำต่อเมื่อกลบหลุมเรียบร้อยแล้ว โดยญาติของผู้ตายพร้อมเพื่อนบ้านจะกลับไปทีทับและทำพิธีสวดที่ทับของผู้ตาย เครื่องใช้ในพิธีสวดศพประกอบด้วย เหล้า ธูป เทียน ข้าวเจ้า ข้าวเหนียว ผู้นำในการสวดศพ คือ หมอผีเท่านั้น เมื่อสวดศพเสร็จแล้ว จะมีการกินเลี้ยงที่ทับของผู้ตาย<br />วัฒนธรรมทางภาษาของชาวซาไก<br /> ซาไกเป็นคนป่าเผ่าหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีตระกูลและภาษา เป็นของตนเอง แบ่งออกเป็น 4 ภาษา<br />1) ภาษาแด็นแอ็น ใช้ในหมู่ชาวซาไกที่อยู่อาศัยในจังหวัดพัทลุง ตรัง และสตูล<br />2) ภาษาเดียแด ใช้อยู่ในหมู่ชาวซาไกในจังหวัดยะลา นราธิวาส<br />3) ภาษายะฮาย ใช้อยู่ในหมู่ซาไกตอนเหนือของมาเล<br />4) ภาษากันซิว ใช้ในหมู่ซาไกที่อยู่อาศัยแถบอำเภอธารโต จังหวัดยะลา<br />ต้นตระกูลภาษาของซาไก ได้มีผู้รู้เชี่ยวชาญทางด้านภาษาและนิรุคติศาสตร์ทั้งของไทย คือ พระยาอนุมานราชธน นายสุธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์ และฝรั่ง คือ นายจอร์น เอช แบรนด์ ได้มีความเห็นตรงกันว่า ภาษาซาไกมีต้นตระกูลมาจากภาษามอญและภาษเขมร ซึ่งเรียกว่า ตระกูลออสโตรเซียนติค เป็นภาษาชนิคำโดด ซึ่งมีบางคำเป็นคำควบติดต่อกัน แต่ไม่มาก จำนวนคำในภาษาซาไกแท้จริงนั้น มีน้อยคำที่เกิดขึ้นมีเท่าที่จำเป็นและต้องการใช้ในการสื่อความหมายเท่านั้น ซาไกรับเอาภาษามลายู ไปใช้และรับเอาภาษาไทยไปใช้ด้วย แต่จะรับเอาเฉพาะคำที่เป็นประโยชน์ต่อเขาเท่านั้น ลักษณะของคำที่นำมาจากภาษามลายู โดยดัดแปลงเสียง รูปคำและความหมาย<br /><br /><span style="color:#ff6600;">ซาไกในยุคปัจจุบัน</span><br /> ในปี พ.ศ. 2542 รัฐบาลไทย ได้มอบหมายให้ราชบัณฑิตยสถานจัดทำหนังสือพจนานุกรม และหนังสือสารนุกรมขึ้น และได้บันทึกไว้ว่า เงาะป่าในแหลมมลายู มี 2 เผ่า คือ เผ่าเซมัง ซึ่งเข้ามาอยู่ในแหลมมลายูก่อนเผ่าซาไก และยึดครองพื้นที่ตอนบนบริเวณภาคใต้ของไทย และตอนเหนือของประเทศมาเลเซีย อีชื่อหนึ่งว่า นิกริโต มีจำนวน 4,500 คน ส่วนเงาะซาไกอาศัยอยู่บริเวณรัฐเประ ปะหัง เป็นตระกูลออสโตรเนเซียน เป็นพวกมองโกลลอยด์ เส้นผมหยิก มาเลเซีย เปลี่ยนชื่อเป็น ซีนอย และโอรัง อัสลี มีจำนวน 73,000 คน<br /> ชาวซาไกหรือเงาะป่า ในภาคใต้ของประเทศไทยนั้น ได้ชื่อว่าเป็นประชากร หรือกลุ่มชาติพันธ์กลุ่มหนึ่งของประเทศ แต่ในขณะนี้ไม่ได้รับการลงทะเบียนสำมะโนครัว และยังไม่ได้รับบัตรประชาชน ซาไกอยู่กับธรรมชาติอย่างสงบไม่มีพิษภัยใดๆ ซาไกอยู่อย่างไม่มีผลได้ในทางเศรษฐกิจให้แก่ประเทศชาติ ได้รับการเอาใจใส่ดูแล เชิงอนุรักษ์จากภาครัฐน้อย ส่วนใหญ่จะปล่อยให้ชีวิตซาไกเป็นไปตามยะถากรรม ใกล้ชิดกับสังคมเมืองมากขึ้นโดนเอาเปรียบจากสังคมเมือง การพัฒนาเชิงอนุรักษ์ในเชื้อชาติและความเป็นอยู่อย่างเหมาะสมมีน้อย แต่จะถูกบุกรุกจากวัฒนธรรมสมัยใหม่ของชาวบ้านชาวเมือง จนกระทั่งขนบธรรมเนียมวัฒนธรรม ความเป็นอยู่ที่เป็นแบบยุคหินกลางคงจะสูญหายและถูกกลืนให้กลายเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีอยู่ในตำนานเท่านั้น<br /> อาชีพและการศึกษา<br /> อาชีพซาไกส่วนใหญ่มีอาชีพรับจ้าง ถางป่า ทำสวน ขายสมุนไพรและของป่า สำหรับการศึกษาไม่มีสถานศึกษา การเรียนรู้เป็นการเรียนรู้นอกห้องเรียนเน้นการปฏิบัติจริง ผู้สอนคือพ่อแม่ ผู้เรียนคือเด็ก ๆ และสมาชิกทั่วไป หลักสูตรที่สอนคือ การดูทิศทาง เรียนรู้ธรรมชาติของสัตว์ วิธีหาอาหารและเครื่องยาจากป่า เวทย์มนต์คาถาที่จำเป็น การทำและการใช้อาวุธ<br /> ทุกวันนี้จังหวัดพัทลุง จังหวัดสตูล จัดการศึกษาให้เงาะป่าได้มากขึ้น ในปี พ.ศ. 2541 จังหวัดสตูล รับลูกชาวเงาะป่า 4 คน เข้าเรียน ในโรงเรียนบ้านวังลายทอง อำเภอละงู โรงเรียนอยู่ห่างจากอำเภอ 30 กม. และพวกเงาะป่าอพยพมาตั้งทับอยู่ห่างจากโรงเรียนไปทางเหนือ 10 กม. หัวหน้ากลุ่มเงาะป่า ชื่อนายไข่ได้ส่งลูก 3 คน เข้าเรียนที่โรงเรียนนี้ พร้อมลูกเงาะป่าอื่นอีก 1 คน รวม 4 คน<br />วิเคราะห์ภูมิปัญญา<br /> ภูมิปัญญาของเงาะป่าซาไกเป็นภูมิปัญญาสั่งสม ที่มีมาตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบันและภูมิปัญญาบางส่วนมีการผสมผสานระหว่างความรู้ดั้งเดิมกับความรู้สมัยใหม่ และภูมิปัญญาที่ได้จากบทเรียนชีวิตจริงตามธรรมชาติจะมีความรู้ปรากฏอยู่ในเครื่องใช ยาสมุนไพร ความเชื่อ ประเพณีและพิธีกรรมต่าง ๆ ช่วยให้สังคมซาไกมีความเข้มแข็งและพัฒนาอย่างมั่นคง สามารถวิเคราะห์ภูมิปัญญาในด้านต่าง ๆ ได้ดังนี้<br /> ด้านชาติพันธ์และชื่อที่ใช้เรียก คนไทยรู้จักชาวซาไกมานานในชื่อที่เรียกว่า “เงาะ” ดังจะเห็นได้จากบทพระราชนิพนธ์เรื่องสังข์ทอง ของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงให้ตัวเอกปลอมตัวสวมรูปเงาะ และบทพระราชนิพนธ์บทละครเรื่องเงาะป่า นอกจากจะเป็นบทชิงรักหักสวาทแล้ว ยังทรงพรรณนาถึงสภาพชีวิตความเป็นอยู่และภาษาของชาวเงาะไว้ด้วย ชื่อซาไกในปัจจุบันมีความหมายเหมือนคนอื่น ๆซึ่งหมายถึงมนุษย์เผ่าหนึ่งที่มีลักษณะเด่นคือ ผิวดำ ตัวเล็ก และผมหยิกเป็นฝอย และที่เรียกว่าเงาะเพราะมีผมหยิกใกล้เคียงกับเปลือกเงาะ<br /> นิสัยใจคอ โดยปกติมีอุปนิสัยร่าเริง ชอบดนตรีและเสียงเพลง กลัวคนแปลกหน้า ยิ้มง่ายเมื่อคุ้นเคยกัน เกลียดการดูถูกเหยียดหยาม พูดน้อยตรงไปตรงมาไม่มีเล่ห์เหลี่ยม นับถือผู้ใดแล้วจะเคาระเชื่อฟังอย่างเคร่งครัด กลัวผี อดทน กินจุ กินเก่ง ถ้าไม่มีก็อดได้เป็นวันสองวัน จิตใจสงบสะอาดบริสุทธิ์จนถ้าดูฉาบฉวยแล้วจะมองว่าเป็นคนโง่ ไม่ฟุ้งเฟ้อทะเยอทะยาน ไม่มีความคิดที่จะกักตุนอาหาร ไม่สะสมทรัพย์สมบัติ มีความชื่นชมอยู่กับป่าเขาลำเนาไพร เนื่องมาจากในป่าที่อาศัยมีความอุดมสมบูรณ์จะหาอาหารตามธรรมชาติเมื่อใดก็ได้ จึงไม่มีการกักตุนสะสมอาหาร อีกสาเหตุหนึ่งอาจมาจากนิสัย สภาพการเป็นอยู่เดิมที่ต้องอพยพเร่ร่อนอยู่เสมอ จึงไม่มีความจำเป็นจะต้องเก็บตุนเพราะจะเป็นภาระเมื่อถึงคราวอพยพและไม่มีความจำเป็นต้องเพาะปลูกเพราะไม่ทันได้ผล พวกเขาก็ถ่ายอุจจาระถึงที่พักเสียก่อนแล้ว ต้องอพยพทิ้งที่อยู่ไปหาที่อยู่แห่งใหม่<br /> ถิ่นที่อยู่อาศัย ซาไกในภาคใต้ของประเทศมีเพียงกลุ่มเดียวที่มีที่อยู่อาศัยแน่นอน คือกลุ่มซาไกจังหวัดยะลา ส่วนซาไกกลุ่มอื่น ๆ ไม่มีหลักแหล่งที่แน่นอน ยังอพยพเร่ร่อนอยู่ตามป่าเขาที่ห่างไกลและมีแหล่งอาหารตามธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ เงาะป่าซาไกจะเลือกที่อยู่อาศัยตามลักษณะทางภูมิศาสตร์คือ เลือกภูมิประเทศที่เป็นเนินสูง มีลำธารหรือน้ำตกอยู่ใกล้ ๆ มีป่าไม้ใหญ่ปกคลุมโดยทั่วไป มีสัตว์ เผือก มัน ที่ใช้เป็นอาหารอุดมสมบูรณ์<br /> ประชากรและกลุ่มชาวซาไก ปัจจุบันซาไกในภาคใต้ของประเทศไทยมีประชากรรวมกันประมาณ 200 คน แยกตามกลุ่มภาษาได้ 4 กลุ่มภาษา และเป็นการยากมากที่จะระบุให้แน่ชัดว่ามีประชากรจำนวนเท่าไร เนื่องจากมีการอพยพโยกย้ายที่อยู่อาศัย มีการถ่ายเทประชากรระหว่างกลุ่ม และบางกลุ่มมีการเดินทางไปมาระหว่างประเทศไทยกับประเทศมาเลเซียอยู่เสมอ<br /> ภาษา ซาไกมีภาษาเป็นของตนเอง เป็นภาษาในตระกูลออสโตรเอเชียติก (Austroasiatic) เป็นตระกูลภาษาใหญ่ตระกูลหนึ่งในเอเชียอาคเนย์ ชาวซาไกมีภาษาพูด ไม่มีภาษาเขียน<br /> ลักษณะสังคม ครอบครัวซาไกเป็นลักษณะครอบครัวพื้นฐาน การสมรสแบบผัวเดียวเมียเดียว ถือฝ่ายสามีเป็นใหญ่ในครอบครัว การนับกลุ่มญาติแบบ “ซิบ” (Sib) คือสามารถลำดับสายญาติไปถึงบรรพบุรุษได้ สังคมของซาไกเป็นลักษณะผสมผสานที่คาบเกี่ยวกัน คือถ้าพิจารณาจากศิลปะการยังชีพก็เป็นสังคมยุคล่าสัตว์และการหาอาหาร ถ้าพิจารณาจากพิธีกรรมการฝังศพก็เป็นยุคหินเก่าตอนปลาย และสมัยหินกลาง ถ้าพิจารณาจากแผนครอบครัวก็เป็นสังคมยุคอารยชน<br /> ความเชื่อ ซาไกทุกกลุ่มไม่นับถือศาสนาใด เว้นแต่ซาไกกันซิวนับถือศาสนาพุทธ แต่การนับถือศาสนาเป็นแต่คำพูดตามชาวบ้านกลุ่มไทยพุทธที่แวดล้อมอยู่ ไม่ได้เข้าใจข้อธรรมใด ๆ ถึงแม้ชาวซาไกไม่นับถือศาสนาใด ๆ ไม่มีความคิดเกี่ยวกับพระเจ้าแต่ชาวซาไกมีภูมิปัญญาในการสร้างสิ่งที่เหนือธรรมชาติขึ้นมาเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข ซึ่งซาไกสามารถบอกได้ว่าเกิดมาจากพ่อแม่ แต่บอกไม่ได้ว่าก่อนหน้านั้นมาจากไหนและตายแล้วไปไหน ที่เขาร้องให้เมื่อมีคนตายเพราะความรักและความผูกพัน ซาไกจะเชื่อเรื่องผี โดยคิดว่า พืช สัตว์ ลำธาร น้ำตกและทุกสรรพสิ่งเป็นของ “โต๊ะปาวัง” ก่อนจะหาจะใช้ต้องทำให้ถูกวิธีคือมีการขอโทษขอขมา ทำให้เกิดความเคารพในกติกา เกิดความยำเกรงและเกิดความพอเพียงในการหาอาหารและการล่าสัตว์ ปัจจุบันซาไกแถบเทือกเขาบรรทัด กลัวผีนกมากกว่าผีชั้นต่ำอื่น ๆ คือกลัว “ซาเราะกาเวา” แปลว่าผีนก คือเครื่องบิน ซาไกเชื่อว่า ผีนกจะไข่ออกมาแล้วไข่นั้นระเบิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ทำให้คนบาดเจ็บล้มตายในทันที ชาวซาไกและชาวบ้านแถบเทือกเขาบรรทัดเล่าให้ฟังว่า สมัยที่ทางการปราบคอมมิวนิสต์ โดยการทิ้งใบปลิวแบบปูพรม เพื่อประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์ออกจากพื้นที่ ซึ่งพื้นที่นั้นซาไกอาศัยอยู่และอ่านหนังสือไม่ออก ก็เก็บเอาใบปลิวนั้นมาทำเป็นเชื้อเพลิงทำให้ทางการเข้าใจผิดคิดว่าเป็นผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์จึงทิ้งระเบิดใส่พวกเขาตายหลายคน จึงกลัวผีนกนับแต่นั้นมา ในด้านความเชื่ออื่น ๆ เช่น<br /> ความเชื่อเกี่ยวกับการหาอาหาร เวลาจะออกไปล่าสัตว์จะต้องไม่บอกให้ผู้ใดรู้ว่าจะไปทิศทางใดเพราะจะทำให้ผีป่าซึ่งเป็นเจ้าของสัตว์รู้เสียก่อนทำให้ล่าสัตว์ไม่ได้ แต่ปัจจุบันความเชื่อเปลี่ยนไปเนื่องจากสามารถหาอาหารจากตลาดและร้านค้าได้ หรือความเชื่อที่ว่าห้ามมิให้เป่าบอเลาเล่นเป็นอันขาดและห้ามไม่ให้คนภายนอกจับต้อง แต่ปัจจุบันมีคนภายนอก นักศึกษาและนักวิชาการมาเยี่ยมชมวิถีชีวิตมากขึ้นได้ร้องขอให้เป่าบอเลาโชว์ให้ดูเพื่อแลกเงินทำให้ความเชื่อเริ่มหายไป<br /> ความเชื่อเกี่ยวกับการแต่งกาย เชื่อว่าการใช้วัสดุจากธรรมชาติมาประดับร่างกายทำให้สุขภาพดี ผีป่ามารบกวน หรือความเชื่อเกี่ยวกับการทำความสะอาดเครื่องนุ่งห่มว่าจะทำให้สัตว์ป่าจับกลิ่นหรือผิดกลิ่นเวลาออกล่าสัตว์ สัตว์จะหนีหมด จึงไม่ทำความสะอาดเครื่องแต่งกาย แต่ความเชื่อนั้นได้หายไปเพราะเกิดการเรียนรู้ว่าการทำความสะอาดเครื่องนุ่งห่มสามารถใช้ได้นาน<br /> ความเชื่อเกี่ยวกับการเลือกที่อยู่อาศัย เชื่อว่าการเลือกสถานที่เหมาะสมสำหรับสร้างที่พักจะทำให้อยู่สุขสบายไม่เจ็บป่วย คือเลือกแหล่งที่ไม่มีผีร้ายอยู่ หรือความเชื่อเกี่ยวกับรูปแบบที่อยู่อาศัยสร้างแบบเพิงหมาแหงนมีความเหมาะสมกับการอยู่ในป่าเพราะถ้าสัตว์ร้ายมาก็จะหนีได้ทันและสามารถออกได้รอบด้านสะดวกทุกทาง และการก่อสร้างด้วยการใช้ไม้ใหญ่เชื่อว่าจะทำให้ผีป่าทำร้าย เพราะต้นไม้เป็นที่อยู่ของผีป่า แต่แท้จริงแล้วเป็นกุสโลบายไม่ให้มีการตัดไม้ทำลายป่าเพราะซาไกอาศัยเพียงชั่วคราวก็ต้องมีการอพยพย้ายถิ่นต่อไป เนื่องจากอาหารตามธรรมชาติหมด<br /> ความเชื่อเกี่ยวกับยารักษาโรค ในอดีตเชื่อว่าสมุนไพรที่ใช้ในการรักษาโรคต้องเป็นสมุนไพรที่เก็บมาใหม่ ๆ และสดเท่านั้น และยาที่ดีจะต้องปรุงด้วยการต้ม ปิ้ง และตำ เท่านั้น แต่ปัจจุบันความเชื่อเปลี่ยนไปและเกิดความเชื่อใหม่ว่ายาสมุนไพรตากแห้งสามารถนำมารักษาโรคได้ดีเหมือนสมุนไพรสด และรู้ว่ายาที่ดีนอกจากจะปรุงด้วยการต้ม ปิ้ง ฝน หรือตำ สามารถดองยาสมุนไพรได้ด้วย<br />ผลของการปฏิบัติตามความเชื่อและพิธีกรรมของซาไก<br /> ทางด้านจิตใจทำให้มีความรู้สึกสบายใจ มีความมั่นใจและมีความเชื่อมั่นในการกระทำในสิ่งที่ตนเชื่อถือว่าสามารถคุ้มครองให้มีความสุขความสบายใจได้ ในด้านพฤติกรรมการปฎิบัติตามความเชื่อในเรื่องสัญลักษณ์ ประเพณีและพิธีกรรมต่าง ๆ ทำให้เงาะป่าซาไกสามารถอยู่รวมกันได้อย่างสงบเพราะมีความเคารพในกติกาและความเชื่อนั้นอย่างเคร่งครัด เป็นการสร้างนิสัยที่ดีให้กับสมาชิก เพราะการที่บรรพบุรุษใช้ความเชื่อต่าง ๆ โดยใช้การขู่หรือหลอกให้กลัวถือเป็นกุสโลบายอย่างแยบยลอีกวิธีหนึ่งของคนรุ่นเก่า ซึ่งเทียบได้ในปัจจุบันก็คือวิธีการอบรมสั่งสอนหรือการจัดระเบียบสังคมโดยการทำให้ดู อยู่ให้เห็น โดยไม่ต้องใช้กฎหมายแต่อย่างใด<br /> อาชีพ ซาไกทุกกลุ่มยังไม่รู้จักการเพาะเลี้ยง แต่ความจำเป็นทางเศรษฐกิจที่สัมพันธ์กับสังคมชาวบ้านซึ่งเป็นสังคมเงินตรา ซาไกจึงต้องปรับตัวในลักษณะของการผลิตทางเศรษฐกิจด้วย คือการเก็บของป่า สมุนไพร น้ำผึ้งป่า ไม้กฤษณา มาขายชาวบ้าน นอกจากนั้นก็รับจ้างทำไร่ ทำสวน สำหรับค่าจ้างอาจเป็นเงิน เสื้อผ้าหรือข้าวสารของกินของใช้ ตามแต่จะตกลงกัน<br /> ลักษณะที่อยู่อาศัย จำแนกได้ 3 ยุคได้แก่ <br /> 1. ยุคดั้งเดิมคือสร้างเป็นเพิงใบไม้อยู่ในป่าลึก ปลูกเป็นเพิงหมาแหงน เรียกว่า “ทับ” <br /> 2. ยุคปรับตัว เป็นยุคที่ซาไกรู้จักการเพาะเลี้ยง ไม่อพยพเร่ร่อน ลักษณะบ้านเรือนหลังคามีลักษณะเป็นจั่ว มุงด้วยใบไม้ที่แข็งแรงกว่าแต่ก่อน<br /> 3. ยุคพัฒนา เป็นยุคที่ซาไกสามารถอ่านออกเขียนได้ ซึ่งมีอยู่กลุ่มเดียวคือซาไกกลุ่มกันซิวที่อำเภอธารโตจังหวัดยะลา ลักษณะบ้านเรือนเหมือนชาวบ้านทั่วไป คือยกพื้นสูง มุงด้วยสังกะสี กันและปูด้วยไม้กระดาน<br /> เครื่องนุ่งห่ม จากหลักฐานบันทึก จากพระราชนิพนธ์เรื่องสังข์ทอง ในรัชกาลที่ 2 และบทพระราชนิพนธ์เรื่องเงาะป่าในรัชกาลที่ 5 แสดงให้เห็นว่าซาไกรู้จักใช้เครื่องนุ่งห่มเป็นเวลาไม่น้อยกว่าร้อยปีมาแล้ว แต่อาจจะเป็นเฉพาะกลุ่มที่ต้องสัมพันธ์กับชาวบ้านก็ได้ ปัจจุบันซาไกทุกกลุ่มรู้จักนุ่งห่มเสื้อผ้า แต่ไม่รู้จักใช้เสื้อผ้า บางครั้งฝนตกไม่มีฟืนก็ถอดเสื้อผ้าใส่กองไฟทำเป็นเชื้อเพลิง การรักษาความสะอาดไม่มีใช้จนขาดใช้การไม่ได้จึงเปลี่ยนใหม่<br /> อาหาร ซาไกไม่รู้จักสะสมอาหาร จะกินจนหมดแล้วจึงออกหาใหม่ แสดงให้เห็นถึงความพอเพียง เพราะซาไกถือว่าอาหารตามธรรมชาติหาได้เสมอไม่ต้องกักตุน ถ้าหาสัตว์ใหญ่มาได้ก็จะนำมาเลี้ยงและแบ่งกันกิน<br /> ยารักษาโรค เนื่องจากถิ่นที่อาศัยเป็นเขตร้อนชื้น จึงมีพืชสมุนไพรอุดมสมบูรณ์ ชาวซาไกรู้จักนำพืชสมุนไพรมาใช้เพื่อการบำรุงร่างกายและรักษาโรค แต่อย่างไรก็ตามปัจจุบันซาไกรู้จักใช้ยาสมัยใหม่ และรู้จักเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลเมื่อเกิดการเจ็บป่วย การรักษาพยาบาลจึงเป็นแบบผสมผสานระหว่างความรู้ดั้งเดิมกับความรู้สมัยใหม่<br />แนวทางในการอนุรักษ์ฟื้นฟูและพัฒนาภูมิปัญญาตามความเหมาะสมกับสภาวะปัจจุบัน<br /> เนื่องจากซาไกได้พบปะมีปฏิสัมพันธ์กับคนสังคมเมืองมากขึ้นทำให้วัฒนธรรมต่างๆ เกิดการเปลี่ยนแปลงโดยเฉพาะปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีพ คือสภาพของวัฒนธรรมที่เกี่ยวกับปัจจัยสี่ แตกต่างไปจากเดิม ได้แก่ อาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค อันเกิดจากสภาพภูมิประเทศเปลี่ยนแปลง เช่นป่าไม้ถูกทำลาย ทำให้หาอาหารได้ยากเกิดความอดอยาก และความเจริญรุกไล่เข้าไปหาพวกเขาอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บแปลก ๆ ที่ยาสมุนไพรรักษาไม่หาย จากสภาพดังกล่าวทำให้วัฒนธรรมต่าง ๆ สูญหายไป จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ชาวเงาะป่าอาจสูญพันธ์ไปในที่สุด จึงควรมีการอนุรักษ์ ส่งเสริมการ ศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับภูมิปัญญาและวัฒนธรรมด้านต่าง ๆ ให้กับนักเรียนที่อยู่ในหมู่บ้านนั้น ปลูกจิตสำนึกให้กับเยาวชนและคนในสังคมรอบข้างของซาไกได้ตระหนักและภาคภูมิใจในการที่มีชนกลุ่มน้อยและมีภูมิปัญญาสั่งสมมากมายสามารถ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ของทั้งสองฝ่ายได้ พร้อมทั้งจัดการศึกษาให้ความรู้กับกลุ่มซาไก และ นำนักเรียนไปเรียนรู้นอกห้องเรียนที่เป็นห้องเรียนธรรมชาติที่หมู่บ้านซาไก ให้ซาไกสอนภูมิปัญญาต่าง ๆ ให้โดยสามารถทำเป็นชุมชนที่มีการอนุรักษ์ภูมิปัญญาของเงาะป่าซาไก นอกจากนี้ หน่วยงานทางราชการควรให้ความสนใจ โดยการสร้างหมู่บ้านลักษณะนิคมสร้างตนเองเพื่อจะได้ไม่ต้องอพยพย้ายถิ่น สร้างอาชีพที่มั่นคงก่อให้เกิดรายได้ประจำ จัดทำทะเบียนราษฎร์ ให้มีบัตรประชาชน ให้เป็นพลเมืองของไทย เพื่อป้องกันการอพยพย้ายถิ่นไปยังประเทศมาเลเซีย หรือจัดการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมเพื่อก่อให้เกิดรายได้กับซาไกและ มีการบันทึกภูมิปัญญาไว้เป็นลายลักษณ์อักษร<br /><span style="color:#ff6600;">บทสรุป<br /></span> ไม่มีสังคมใดในโลกนี้ที่มีลักษณะสถิตย์ (static) หยุดนิ่งอยู่กับที่เพราะทุกสังคมประกอบด้วยกลุ่มคนที่หลากหลายด้วยปัจจัยต่างๆ สังคมมนุษย์จึงมีลักษณะเป็นพลวัตร (Dynamic) คือมีการการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา รวมทั้งกลุ่มสังคมของซาไกด้วย อันเนื่องจากปฏิสัมพันธ์กับธรรมชาติและชาวบ้านในชุมชนใกล้เคียง ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นมากมายกับสังคมซาไก โดยเฉพาะวิธีการดำเนินชีวิตแบบดั้งเดิมที่ใช้ชีวิตเร่ร่อนเก็บของป่า ล่าสัตว์ อยู่ในป่าเทือกเขาบรรทัด อันเป็นลักษณะของกลุ่มสังคมล่าสัตว์ที่ดำเนินสืบเนื่องติดต่อกันมาเป็นเวลานาน ซึ่งจัดว่าเป็นมรดกทางสังคมของกลุ่มชาติพันธ์โดยแท้จริง แต่เมื่อมีการติดต่อกับชาวบ้านทำให้เกิดการเรียนรู้และการถ่ายทอดแบบแผนในการดำรงชีวิตมาผสมผสานกับสภาพทางสังคมเดิมของตน ทำให้เกิดการปรับตัวของหน่วยต่างๆ ทางสังคมและนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงแบบแผนในการดำเนินชีวิต ในช่วงเวลาต่อมาโดยจะพบว่าในปัจจุบันซาไกเปลี่ยนมาอาศัยในขนำ (กระท่อม)ของตนเองแทน การสร้างเพิงพักอย่างอดีตมีการใช้เสื้อผ้าตามแบบคนบ้านโดยเฉพาะเสื้อผ้าสีฉูดฉาดและกางเกงยีนส์จะเป็นที่นิยมมาก ภายในทับและขนำจะพบของใช้จากหมู่บ้านหลายชนิด เช่น แป้ง สบู่ อาหารกระป๋อง ผงชูรส ฯลฯ โดยซาไกเรียนรู้สภาพดังกล่าวจากชาวบ้านที่มาถางป่าทำไร่ในบริเวณนั้น และบางส่วนก็เคยเป็นแรงงานในไร่ทำการเพาะปลูกให้แก่ชาวบ้านมาก่อนโดยจะพบว่าในปัจจุบันซาไกกลุ่มนี้เริ่มที่จะถางป่า ตัดฟัน โค่น และเผาต้นไม้ลงเป็นบริเวณกว้าง เพื่อที่จะปลูกข้าวไร่ในช่วงฤดูฝนของแต่ละปี และเนื่องจากข้าวเปลือกเป็นอาหารที่สามารถจะเก็บไว้ได้เป็นเวลานาน เมื่อจะกินก็นำมาตำในภายหลัง จึงอาจจะกล่าวว่าข้าวเป็นพืชที่ใช้เป็นอาหารชนิดแรกๆที่มีการเพาะปลูกและเก็บไว้บริโภคในระยะเวลานานๆ ของกลุ่มซาไกที่ได้รับรูปแบบมาจากชาวบ้านใกล้เคียง<br /> จึงกล่าวได้ว่าแบบแผนในทางสังคมและระบบการผลิตดังกล่าวเป็นการพัฒนาอีกขั้นตอนหนึ่งของสังคมมนุษย์ โดยเฉพาะของกลุ่มซาไกแต่เป็นสิ่งที่ได้รับอิทธิพลและเกิดการเรียนรู้จากสังคมภายนอก มิได้เกิดขึ้นจากการพัฒนาศักยภาพในกลุ่มของสังคมของตนเอง เป็นปรากฏการณ์ของสังคมที่กำลังเปลี่ยนผ่านและสืบเนื่องจากสังคมล่าสัตว์ ไปสู่สังคมเกษตรกรรม หรือสังคมชาวไร่ในโอกาสต่อไปข้างหน้า ภาพรอยต่อของการเปลี่ยนผ่านในสังคมดังกล่าวจึงจัดเป็นพัฒนาการอีกลักษณะหนึ่งของสังคมซาไกที่ดำเนินไปท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงทางสังคมเศรษฐกิจและวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธ์อื่นๆ ในสังคมไทยซึ่งต่างก็ต้องอยู่ภายใต้กฏเกณฑ์ของความเปลี่ยนแปลง ซึ่งปัจจัยที่ทำให้วัฒนธรรมพื้นฐานการดำรงชีพเปลี่ยนไปคือ ปัจจัยภายนอก ได้แก่ นโยบายของรัฐบาลในกาปราบปรามคอมมิวนิสต์ ปัจจัยภายนอกได้แก่ ความเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติ<br /> จะเห็นได้ว่าชาวเงาะไม่ใช่คนโง่แต่เป็นคนบริสุทธิ์ ตามสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติ ซาไกจึงเป็นมนุษย์ผู้อาศัยในป่าแบบยั่งยืน และป่าใดที่มีซาไกอาศัยอยู่ บ่งบอกถึงความสมบูรณ์ของป่านั้นว่ายังบริสุทธิ์ อยู่อย่างถ้อยทีถ้อยอาศัยช่วยรักษาสมดุลทางธรรมชาติ<br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /> </div>nithttp://www.blogger.com/profile/02938631367294223145noreply@blogger.com4tag:blogger.com,1999:blog-4095788844629105216.post-35837220986546811022008-09-04T01:28:00.001-07:002008-09-04T01:51:04.901-07:00วรรณกรรมเรื่องเงาะป่า<div align="center"><span style="font-size:180%;color:#990000;">เงาะป่า</span></div><div align="center"></div><br /><div align="center"><span style="font-size:180%;color:#990000;"></span></div><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5242085758458057874" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhCsGUWR2hqxC7HBirejN-L-9cQpbgvtOocvqI5BFg3Gn9HYdpvDE1YRwbvtZc_sOUN9o9FaM0WbuE-5otqCiWxQV6YT7SWVkN29hLU0OwehXm5nbI5ZNA9nXZviYW4h-R92hghltLQ7Us/s200/%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%9B2.jpg" border="0" /><br /><div align="left"><br /><br /><span style="font-size:130%;">ประวัติความเป็นมาเรื่องเงาะป่า<br /></span>เงาะป่าเป็นพระราชนิพนธ์บทละครในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นวรรณคดีเรื่องเอกของไทยที่จัดเข้าลักษณะวรรณคดีโศกนาฏกรรมแบบตะวันตก ทรงพระราชนิพนธ์ในช่วงที่ทรงพักฟื้นจากการประชวรด้วยพระโรคมาเลเรีย เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ร.ศ.124 (พ.ศ.2448) โดยใช้เวลาทรงนิพนธ์ 8 วันเท่านั้น โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้เกิดความเพลิดเพลินพระราชหฤทัยในระหว่างการพักฟื้นจากการประชวร<br />พระราชนิพนธ์เรื่องเงาะป่า เป็นเรื่องที่แสดงให้เห็นพระอัจฉริยภาพทางศิลปะทั้งในด้านวรรณศิลป์ นาฏศิลป์ และคีตศิลป์ ลักษณะคำประพันธ์เป็นบทละครรำ นอกจากนี้ยังได้ทรงพระราชนิพนธ์เกี่ยวกับ “รูปพวกเงาะโดยสังเขป” (ความรู้เกี่ยวกับรูปร่างหน้าตา นิสัยใจคอ และสภาพชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเงาะ) เนื้อเรื่องเต็มไปด้วยสาระ มีแนวคิดสำคัญที่เป็นสากลคือ เรื่องของความรัก ซึ่งเป็นความรู้สึกอันยิ่งใหญ่ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติของมวลมนุษย์ชาติ ทุกภาษาและทุกชนชั้น<br />“จบ บทประดิษฐ์แกล้ง กล่าวกลอน<br />เรื่อง หลากเล่นละคร ก็ได้<br />เงาะ ก็อยเกิดในดอน แดนพัท ลุงแฮ<br />ป่า เป็นเรือนยากไร้ ย่อมรู้รักเป็น”<br />การที่ทรงเลือก “ความรัก” มาเป็นแนวคิดสำคัญของเรื่องเงาะป่าซึ่งเป็นเรื่องราวของชีวิตของตัวละครที่เป็นชนกลุ่มน้อยที่ปราศจากความสำคัญและยังป่าเถื่อนในสายตาของคนเมือง แสดงให้เห็นถึงแนวพระราชดำริว่า มนุษย์นั้นมีความเสมอเหมือนกันในด้านอารมณ์และความรู้สึก แม้จะต่างเพศผิวพันธ์จะเจริญหรือล้าหลังก็ตาม<br /><br /><span style="font-size:130%;">ลักษณะของเรื่องเงาะป่า</span><br />เป็นกลอนบทละคร มีลักษณะสัมผัสเช่นเดียวกับกลอนแปด สิ่งที่แตกต่างระหว่างกลอนบทละครกับกลอนแปดคือ<br />- ตัวละครสำคัญ กลอนบทละครจะขึ้นต้นด้วย “มาจะกล่าวบทไป” หรือ “เมื่อนั้น”<br />- ตัวละครไม่สำคัญ กลอนจะขึ้นต้นด้วย “บัดนั้น”<br />บทละครจะกำหนดเพลงสำหรับขับร้อง มีเพลงหน้าพาทย์ ใช้ประกอบท่ารำหรือกิริยาอาการของตัวละคร เมื่อขึ้นต้นแต่ละวรรคหรือตอนจะมีเครื่องหมาย (ฟองมันหรือตาไก่) กำกับไว้ โดยเหนือฟองมันจะมีชื่อเพลงสำหรับขับร้อง ใต้ตอนจะบอกว่ามีกี่คำกลอน และบางเพลงจะมีหน้าพาทย์กำกับเช่น “ฯ๒ฯ โอด”<br />ลักษณะคำประพันธ์และภาษา<br />บทละครเรื่องเงาะป่า แต่งด้วยกลอนบทละครตลอดทั้งเรื่อง มีบอกเพลงกำกับไว้ ทรงใช้ภาษาอย่างเรียบง่าย มีความไพเราะไม่มีศัพท์สูงๆ ที่เข้าใจยากอย่างวรรณคดีทั่วไป แต่ได้ทรงสอดแทรกคำศัพท์ภาษาก็อย (ซาไก) ไว้โดยตลอด ก่อนถึงเนื้อเรื่องมีบัญชีศัพท์ภาษาก็อยใส่ไว้เพื่อให้ผู้อ่านสามารถเปิดหาความหมายของศัพท์เหล่านั้นโดยสะดวก ถึงแม้ผู้อ่านจะไม่ได้ย้อนกลับมาเปิดศัพท์ก็อ่านได้ไม่ยาก เพราะทรงใช้คำศัพท์ภาษาก็อยควบคู่กับภาษาไทย ทำให้เดาความหมายภาษาก็อยได้<br />คำศัพท์ภาษาก็อยเดิมนั้นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงเก็บเงาะป่าคนหนึ่งชื่อ”คนัง” ที่ทรงนำไปเลี้ยง ทรงพระราชนิพนธ์ไว้ในคำนำว่า “ส่วนศัพท์ภาษาก็อยไล่เลียงจากอ้ายคนังทั้งนั้น แต่ไม่ใช่ไล่เลียงขึ้นสำหรับหนังสือนี้ ได้ชำระกันแต่แรกมา เพื่อจะอยากรู้รูปภาษาว่าเป็นอย่างไร แต่คำให้การนั้นได้มากแต่เรื่องนกหนู ต้นหมากรากไม้เพราะมันยังเป็นเด็ก บางทีผู้อ่านจะเหนื่อยหน่ายด้วยคำที่ไม่เข้าใจมีมาก จึงได้จดคำแปลศัพท์ติดไว้ในสมุดเล่มนี้ด้วย”<br /><br /><span style="font-size:130%;">เนื้อเรื่องย่อบทละครเรื่องเงาะป่า<br /></span>ซมพลาเป็นเงาะหนุ่มได้รักนางลำหับ ซึ่งซมพลามีบุญคุณกับลำหับในการช่วยชีวิตตอนที่ไปเที่ยวป่าและโดนงูรัดเลยเกิดรักกัน ตามความเชื่อที่ว่าชายใดแตะเนื้อต้องตัว หญิงถือว่าเป็นสามีของหญิงนั้น แต่ฮเนามาสู่ขอนางลำหับกับตองยิบและนางฮอย ซึ่งเป็นบิดามารดาของลำหับ ทั้งสองตกลงใจให้นางลำหับแต่งงานกับฮเนา ซึ่งมีความเหมาะสมในฐานะ และได้จัดพิธีแต่งงานให้ พวกเงาะมาช่วยงานกันทั้งหมู่บ้าน เมื่อนางลำหับกับฮเนาแต่งงานกัน จะต้องไปเดินป่าตามประเพณี 7 วัน ซมพลาได้ทำอุบายไปลักพาตัวนางลำหับหนีมาอยู่กับตนที่ในถ้ำ ฮเนานึกว่าซมพลาบังคับเอาตัวนางลำหับไปจึงออกติดตามจนพบ ซมพลากับฮเนาได้ต่อสู้กัน รำแก้วซึ่งเป็นพี่ชายของฮเนาได้ใช้ลูกดอกอาบยาพิษเป่าไปถูกซมพลาได้รับบาดเจ็บ นางลำหับไม่เห็นซมพลากลับมา จึงออกไปตามพบซมพลาถูกลูกดอกอาบยาพิษถึงแก่ความตายไปต่อหน้าต่อหน้า ก็เสียใจ นางลำหับรักซมพลามากจึงได้ใช้มีดฆ่าตัวเองตายตามซมพลา ส่วนฮเนาเมื่อได้รู้ว่านางลำหับกับซมพลารักกันและได้เห็นความรักอันเด็ดเดี่ยวของซมพลากับลำหับ และคิดว่าตนเป็นต้นเหตุให้ทั้งสองตาย จึงฆ่าตัวตายตามไปด้วย<br /><br /><span style="font-size:130%;">วิเคราะห์ภูมิปัญญาด้านต่างๆ ของเรื่องเงาะป่า</span><br />โครงเรื่องเงาะป่ามีทั้งโครงเรื่องใหญ่ คือความรักสามเส้าของซมพลา ลำหับและฮเนา โครงเรื่องรองที่สนับสนุนโครงเรื่องใหญ่ให้เด่นชัดคือ ความรักสามเส้าของตาวางซอง นางถิ่งและตาจาลอง<br />เงาะป่าเป็นวรรณคดีที่มีลักษณะผสมผสานกันระหว่างบันเทิงคดี โบราณและปัจจุบัน คือเป็นเรื่องของชนกลุ่มน้อยที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสนพระราชหฤทัย จึงได้ทรงพระราชนิพนธ์เป็นบทละคร ซึ่งเรื่องของสามัญชนที่ด้อยความสำคัญในสังคมมีมาตั้งแต่รัชกาลที่ 3 คือเรื่องระเด่นลันได ของพระยามหามนตรี (ทรัพย์) เป็นเรื่องรักสามเส้าของแขกขอทาน แขกเลี้ยงวัวและภรรยา แต่เนื้อหาผู้แต่งมีจุดประสงค์ล้อเลียนเสียดสีบทละครเรื่องอิเหนา หรือบทละครนอกเรื่อง “สังข์ทอง”ซึ่งพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ได้ทรงพระราชนิพนธ์ โดยอาศัยเค้าโครงเรื่องมาจากปัญญาสชาดก ได้สะท้อนให้เห็นถึงมุมมองของคนในสังคมไทยที่มีต่อมนุษย์เผ่านี้อย่างชัดเจน “เกราะรูปทานพที่ถูกขยายความว่าเป็นเกราะรูปเงาะ ปฏิกิริยาที่ท้าวสามนต์นางสนม นางกำนัล หรือแม้แต่เด็ก ๆ ชาวบ้านมีต่อพระสังข์ในคราบเงาะป่า ได้แสดงความเยาะเย้ยถากถาง” แต่เรื่องเงาะป่ามีจุดประสงค์ที่จะแสดงวิถีชีวิตของพวกเงาะอย่างสมจริง ในด้านความเป็นอยู่ การแต่งกาย ขนบธรรมเนียมประเพณี ความเชื่อ ภาษาพูด การแต่งกายตลอดจนลักษณะทางกายภาพและอุปนิสัยใจคอ ฯลฯ โดยปราศจากเรื่องของเวทมนต์คาถาประเภทเหาะเหินเดินอากาศซึ่งเป็นสิ่งที่เหนือจริงและเป็นเรื่องไกลตัว<br />เนื้อเรื่องเงาะป่าบางตอนคล้ายคลึงกับบทละครเรื่องอิเหนา เช่น รักสามเส้าของ ซมพลา ลำหับ ฮเนา กับรักสามเส้าของอิเหนา บุษบา และจรกา อิเหนารู้สึกตนว่ารักและปรารถนาบุษบาเมื่อท้าวดาหาได้ยกนางให้จรกา เช่นเดียวกับเงาะป่าซมพลาแอบรักลำหับ แต่ปล่อยให้เวลาล่วงเลย มาคิดแย่งชิงเมื่อพ่อแม่นางยกให้ฮเนา เรื่องอิเหนามีสียะตราอนุชาบุษาเป็นพ่อสื่อ เรื่องเงาะป่ามีไม้ไผ่น้องลำหับเป็นพ่อสื่อให้ซมพลา มีการวางแผนหาสถานที่คือถ้ำเป็นที่หลบซ่อน ต่างกันตรงที่อิเหนาได้กลับมาหานางบุษบามีความสุขตอนจบ แต่ซมพลาต้องจากลำหับตลอดชีวิต<br />เห็นได้ว่าเรื่องเงาะป่า เรื่องของความรักครอบคลุมเนื้อหาทั้งเรื่อง เหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นมีความรักเป็นเหตุ ปัญหารักสามเส้ามีการย้ำเน้นเป็นพิเศษ คือความรักระหว่างตัวละครเอกทั้งสามคน คือ ซมพลา ลำหับ และฮเนา และตัวละครประกอบของเรื่องก็มีปัญหารักสามเส้าคือ ความรักระหว่างตาวางซอง นางถิ่ง และตาจาลอง ความรักของผู้เฒ่าช่วยเสริมให้บทบาทและพฤติกรรมของตัวละครเอกเด่นชัดขึ้น เพราะความรักของหนุ่มสาวน่าเห็นใจ ดูงดงามสมเหตุสมผล เพราะซมพลายึดมั่นในความรักที่มีต่อลำหับและปรารถนาในตัวนางลำหับแต่มิได้หักหาญน้ำใจถ้านางลำหับไม่รักตน แต่หลังจากที่ได้ตกเป็นหนี้บุญคุณซมพลาที่ช่วยชีวิตไว้ และได้ถูกซมพลาถูกเนื้อต้องตัวเท่ากับตกเป็นสมบัติของซมพลาทำให้นางต้องจงรักภักดีต่อซมพลา ส่วนฮเนามีสิทธิ์ยืนยันความรักต่อลำหับเพราะเป็นความรักที่ถูกต้องตามประเพณี ทั้งซมพลา ลำหับและฮเนายังอยู่ในวัยหนุ่มสาว ความร้อนแรงทางอารมณ์จึงค่อนข้างเข้มข้น เมื่อตกเป็นทาสความรัก แต่เมื่อพิจารณาความรักของผู้เฒ่าทั้งสามคน ก็น่าสังเวช ขบขัน และน่าตำหนิ เพราะความรักเกิดจากความเขลา กิเลสตัณหาเป็นสำคัญ ด้วยวัยวุฒิทั้งสามคนน่าจะมีสติยั้งคิด เรื่องอื้อฉาวผิดศิลธรรมเกิดขึ้นเพราะความไม่ซื่อสัตย์ของนางถิ่งคนกลาง นางคบชู้กับตาวางซองเพราะสามีคือตาจองลองจากนางไปค้าขายนานสี่ปี เมื่อสามีกลับมาเกิดหึงหวงกันจึงท้าต่อสู้กัน ซมพลามาเห็นเหตุการณ์ ไต่ถามได้ความจึงเปรียบเทียบความรักสามเส้าของผู้เฒ่ากับความรักสามเส้าของตน แต่ต่างกันตรงที่ นางลำหับคนกลางเป็นคนซื่อสัตย์ กตัญญู ในขณะที่นางถิ่งมีแต่ความเลวร้าย ดังบทกลอนต่อไปนี (รักสามเส้า)<br />“ เมื่อนั้น ซมพลาฟังคำร่ำขยาย<br />ให้นึกขันกลั้นหัวตากับยาย มาเคราะห์ร้ายชิงชู้คู่กับเรา<br />เสียวจิตคิดถึงเรื่องของตัว แม้นเจ้าผัวเซ่อซ่ามาพบเข้า<br />เรามิต้องต่อยกันกับฮเนา แต่ผิดเค้ากันอยู่นิดที่จิตนาง<br />คิดพลางทางพูดไกล่เกลี่ย ข้าจะขอเสียทีทั้งสองข้าง<br />จะรักใคร่ไปทำไมกันคนกลาง เป็นเยี่ยงอย่างสตรีที่ชั่วร้าย<br />อันความอายขายหน้ามาต่อรบ ก็พอลบอัปยศให้หมดหาย<br />จงคืนทับดับใจให้สบาย อย่าวุ่นวายตาทั้งสองจงตรองความ”<br />ซมพลาไกล่เกลี่ยให้ผู้เฒ่าเลิกสู้กันเพราะนางถิ่งไม่มีค่าพอที่แลกชีวิตเพื่อชิงนาง แต่ต่อมาเมื่อเหตุการณ์เดียวกันเกิดขึ้นกับซมพลาเมื่อเผชิญหน้ากับฮเนากลับสู้ไม่คิดชีวิตเพราะนางลำหับมีค่าแก่การช่วงชิง<br />นอกจากความรักระหว่างหนุ่มสาวแล้ว ยังแสดงให้เห็นถึงความรักระหว่างเพื่อน ความรักระหว่างบิดามารดาและบุตร ความรักระหว่างพี่น้อง เมื่อใดสมหวังในความรักก็จะมีความสุข เมื่อใดความรักไม่สมหวังก็เกิดทุกข์ และมีความเชื่อในเรื่องบุญกรรม รำแก้ว ปองสองและปองสุดซึ่งเป็นพี่ชายน้องชายของฮเนาคร่ำครวญตัดพ้อความรัก เมื่อเห็นศพของทั้งสามคน ดังบทกลอนต่อไปนี้<br />“ดูดุ๊ความรักนักหนาหนอ มาลวงล่อโลมพาคนอาสัญ<br />ถึงสามศพสยบเรียงเคียงกัน ล้วนทาสรักทั้งนั้นอนาถใจ<br />แสนสงสารลำหับสาวน้อย บุญใดที่คอยส่งให้<br />งามโฉมประโลมโลกเลิศวิไล ผูกจิตชายได้ดังคาวี<br />กรรมใดบันดาลสังหารเจ้า ให้พลอยกลืนรักเข้าไปเป็นผี<br />โอ้ซมพลาน่าชมฝีมือดี น้ำใจดีกล้าหาญทานทน<br />ควรฤาเราสามตามสังหาร ดังตาโก๊ะทะยานไม่ย่อย่น<br />ตรงต่อรักหักไม่เห็นแก่ตน ควรนับว่าเป็นคนข้าความรัก<br />อนิจจาฮเนาเจ้าเพื่อเข็ญ ได้ขุ่นข้องลำเค็ญเพราะรักหนัก<br />ช่างอาภัพลับหลงจงจิตนัก ไม่มีส่วนสุขสักหน่อยหนึ่งเลย<br />อนิจจารักกระไรใจจืดเหลือ ไม่เผื่อแผ่ผลาญชีพเล่นเฉยเฉย<br />จงรู้ฤทธิ์รักร้ายอย่าหมายเชย ศพจะเกยก่ายกลาดอนาจใจ<br />ภูมิปัญญาที่แสดงถึงความซื่อสัตย์ มีคุณธรรม เป็นกุลสตรี มีความรักเดียวใจเดียว มั่นคงในความรัก ซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อผู้เป็นสามี ความมีจิตใจเด็ดเดี่ยว โดยการฆ่าตัวตายก่อนซมพลา เพื่อให้ซมพลาตายตาหลับโดยไม่ต้องห่วงนาง และมีความเชื่อในการเกิดในภพหน้า<br />“ โอ้ว่าซมพลาของเมียเอ๋ย ไฉนเลยมาสั่งดังนี้ได้<br />พ่อเดาจิตเมียผิดเป็นพ้นไป ด้วยนึกว่าเป็นนิสัยนารี<br />คงกลัวตายหมายแต่จะหาสุข ถึงยามทุกข์เข้าสักหน่อยก็ถอยหนี<br />อันฝูงหญิงจริงอยู่ย่อมมากมี แต่ใจของน้องนี้ไม่เหมือนกัน<br />พ่อตายฤาจะหมายมีผัวใหม่ ให้กินใจกันเป็นนิจคิดหวาดหวั่น<br />ว่าเคยสองคงปองสามไม่ข้ามวัน รสรักนั้นคงจะจางด้วยหมางใจ<br />รักของน้องปอองแต่ให้แท้เที่ยง ไม่หลีกเลี่ยงให้เข็ดขามตามวิสัย<br />จะให้พ่อวายชนม์พ้นห่วงใย เมื่อเกิดไหนจะได้พบประสบกัน<br />ภูมิปัญญาที่แสดงถึงความเคารพในกติกาและความถูกต้อง ให้เกียรติผู้หญิงโดยไม่ใช้กำลังข่มเหงโดยถามถึงความสมัครใจ เพื่อมิให้ได้ชื่อว่าเป็นชายแต่ข่มเหงน้ำใจหญิง ดังกลอนบทต่อไปนี้<br />“ ความรักน้องใช่จะปองแต่สังวาส จะตามใจนุชนาฎคิดไฉน<br />แม้นมิอยู่คูหาจะกลับไป พี่ก็ไม่สิ้นสวาทวนิดา<br />และแสดงถึงการเคารพในกติกา และความถูกต้อง เมื่อนางลำหับตัดพ้อว่าทำไมไม่ไปสูขอตั้งแต่แรก ซมพลาชี้แจงเหตุผลอย่างน่าฟังว่า เช่น<br />“ อันจะสู่ขอต่อบิดา ไม่มีท่าที่จะได้สมคิด<br />ข้างฮเนาเขามาว่าไว้ก่อน บิดาหย่อนย่อมให้เขาเป็นสิทธิ์<br />คงจะไม่ได้เชยชมชิด จำจิตจึงต้องทำดังนี้”<br />ภูมิปัญญาแสดงถึงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ ตามสภาพธรรมชาติ และความอุดมสมบูรณ์ในป่า ซึ่งเป็นที่รวมแห่งชีวิตทั้งยามทุกข์ยามสุขเป็นที่เกิด ที่อยู่ ที่ทำมาหากิน ที่เที่ยวเล่น ที่พลอดรัก ที่ประกอบพิธีต่างๆ ทั้งยังเป็นที่มาของขนบธรรมเนียม ค่านิยม ปรัชญาและความเชื่อ แม้กระทั่งเป็นที่ฝังร่างอันไร้วิญญาณ ชีวิตของพวกเงาะจึงวนเวียนอยู่ในป่าอย่างครบวงจร ด้วยสภาพธรรมชาติอันบริสุทธิ์ ได้หล่อหลอมให้สังคมเป็นสังคมที่เรียบง่ายงดงาม ไม่ยุ่งยากซับซ้อนจนแลดูหยาบกระด้าง ผู้คนมีจิตใจอ่อนโยน มีความสุขตามอัตภาพ ดังตัวอย่างฉากชีวิตตอนที่เงาะน้อยไม้ไผ่และคนังเล่นน้ำ ทรงพรรณนาไว้อย่างเห็นภาพ ดังนี้<br />“ จับตะพดมะพร้าววักตักวารี รดทั่วอินทรีย์อาบสนาน<br />นั่งชุ่มแช่เย็นฉ่ำสำราญ น้ำเป็นเกลียวเชี่ยวฉานทานกายรับ<br />เห็นฝูงปลามาเป็นพรวนทวนกระแส สองแงะแบบมือจ้องเที่ยวมองจับ<br />เหยียบศิลากลิ้งกลมลื่นล้มพับ ลงนอนทับกันงอนหง่อหัวร่อริก<br />โก้งโค้งมองจ้องมือจะช้อนใหม่ กลัวปลาตกใจไม่กระดิก<br />พอได้ทีฉวยผับปลากลับพลิก ดิ้นดิ๊กกิ๊กโยนไปไว้กลางทราย<br />ปูน้อยน้อยวิ่งร่อยตามริมหาด ทั้งสองมาดหมายตะครุบปุบเปิดหาย<br />คอยปากรูปูไม่ทันจะซ่อนกาย จับได้หลายตัวชักหักก้ามไว้<br />จนเหนื่อยอ่อนร้อนอีกลงนอนขวาง ที่ในกลางสายชลล้นหลั่งไหล<br />แล้วชวนกันชำระสระเหงื่อไคล เร่งผ่องใสแสนสำราญบานกมล”<br />และตอนที่นางลำหับชมธรรมชาติซึ่งนอกจากสะท้อนให้เห็นเกี่ยวกับธรรมชาติแล้ว ยังได้รู้ถึงลักษณะพืชพันธ์ชนิดต่าง ๆ และมีจิตสำนึกในการรักษาธรรมชาติไว้คู่กับป่า<br />“ ยามเช้า อุระเราชื่นแช่มแจ่มใส<br />สู้บุกป่ามาดมชมดอกไม้ ข้าขอบใจมาลีที่เบิกบาน<br />ล้วนอารีมิให้เรามาเก้อ เผยเผยอกลีบประทิ่นกลิ่นหอมหวาน<br />สายหยุดดกย้อยห้อยพวงยาน กลิ่นซาบซ่านนาสาดอกน่าเชย<br />มะลิวัลย์พันกอพฤกษาดาด เหมือนผ้าลาดขาวลออหนอน้องเอ๋ย<br />รสสุคนธ์ขึ้นเป็นดงอย่าหลงเลย กำลังเผยเกสรสลอนชู<br />โน่นแน่อุ๊ยสารภีไม่มีใบ เหมือนต้นไม้ทอดตั้งอยู่ทั้งคู่<br />แมลงล้อมตอมว่อนเสียงหวี่วู ไม่มีผู้ช่วยสอยน้อยใจเอย”<br />ภูมิปัญญาที่สะท้อนให้เห็นถึงการได้รับอิทธิพลจากธรรมชาติ และคนสังคมเมืองสามารถนำมาเป็นแนวทางในการปรับใช้ในสังคมได้ จากการที่มีชีวิตอยู่ใกล้กับธรรมชาติ ปรัชญาหรือทรรศนะในการดำรงชีวิตสะท้อนให้เห็นได้ว่าได้รับอิทธิพลมาจากธรรมชาติ เป็นสิ่งที่ไม่ได้ลึกซึ้งแต่ใช้การได้ดี แม้แต่คนเมืองก็อาจนำมาเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตได้ เช่น ตอนนางลำหับไปนั่งเล่นที่น้ำตกหน้าถ้ำ ได้เห็นวิถีชีวิตของปลา แมลง และนกในขณะนั้นนางจึงขับเพลงขึ้นว่า<br />“ มัจฉา ช่างฉลาดเสาะหาอาหาร<br />ไฉนไม่ปรีชากล้าเพียงพอ มาล่อปากปักษาที่ถาลง<br />สกุณาตาดีฉะนี้แล้ว ยังไม่แคล้วบอเลาเจ้าช่างหลง<br />อันมนุษย์สุดฉลาดทั้งอาจอง อย่างวยงงให้เหมือนสัตว์บัดสีเอย”<br />เพลงบทนี้ได้แสดงปรัชญาเกี่ยวกับชีวิตสัตว์โลก ไม่ว่าจะเป็นสัตว์เดรัจฉานหรือสัตว์ประเสริฐเยี่ยงมนุษย์ ไว้ได้อย่างน่าคิดว่า สัตว์เดรัจฉานนั้นได้ทุกข์เพราะตกเป็นเหยื่อของผู้ที่เหนือกว่าด้วยความเขลา มนุษย์ที่ได้ชื่อว่าฉลาดจึงไม่ควรตกเป็นเหยื่อของความโมหะคือความลุ่มหลง ซึ่งเป็นภูมิปัญญาที่สะท้อนในด้านศาสนา และการดำรงตนไม่ให้ตกเป็นทาสของอารมณ์<br />ภูมิปัญญาแสดงถึงประเพณีการแต่งงาน การสั่งสอนอบรม การให้โอวาทลูกหลังการแต่งงาน ความเป็นผู้นำ มีความเสียสละ การครองคู่ให้ผู้ชายมีความเข้มแข็งเยี่ยงเสือ ผู้หญิงเป็นผู้อ่อนแอน่าเอ็นดูอย่างนก พ่อแม่ของทั้งสองฝ่าย สอนให้รักกัน ดูแลห่วงใยซึ่งกันและกัน โดยยกตัวอย่างเสือตัวผู้และเสือตัวเมีย<br />“ (เงาะยอ) ลูกรัก จงดูเยี่ยงพยัคฆ์โคร่งใหญ่<br />ถึงร้ายกาจอาจหาญปานใด ก็มิได้ทำร้ายแก่ลูกเมีย<br />(ตองยิบ) บุญเหลือ จงดูอย่างแม่เสืออย่าอ่อนเอี้ย<br />รักตัวผู้ดูลูกเฝ้ากกเลีย มีศัตรูสู้เสียชีวิตแทน”<br />“ (มาเนาะ) ลูกยา จงดูเยี่ยงปักษาในไพรสณฑ์<br />แสวงเหยื่อเผื่อคู่บินวู่วน พอได้ผลพาร่อนมาป้อนนาง”<br />(ฮอยเงาะ) ชื่นอก จงดูอย่างนางนกอย่าขนาง<br />เมื่อยามทุกข์ปลุกใจให้โศกจาง ใช้ปีกหางคู่เคล้าเฝ้าคลอเคลีย”<br />ตอนแต่งงาน กล่าวถึงพิธีแต่งงานของชาวเงาะว่ามีประเพณี การจัดขบวนแห่ฟ้อนรำ ร่วมแสดงความยินดีโดยมีเครื่องประดับที่สำคัญคือดอกไม้ การอวยพรคู่บ่าวสาวของผู้เฒ่าผู้แก่ ซึ่งมีการเปรียบเทียบการใช้ชีวิตร่วมกันของสองคนว่าต้องช่วยเหลือกัน ให้อภัยและอยู่เคียงข้างให้กำลังใจตลอดไป ถือว่าการแต่งงานของพวกเงาะนอกจากจะสร้างความสุขให้คู่บ่าวสาว ความสนุกสนานกับผู้มาร่วมงาน ยังมีการร่ายรำที่สนุกสนาน เป็นการแสดงออกทางอารมณ์ที่สดใส เป็นการแสดงให้เห็นถึงความกตัญญูกตเวทีต่อผู้มีพระคุณคือพ่อแม่ที่ยอมแต่งงานกับคนที่ตนไม่รัก แสดงให้เห็นถึงความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีน้ำใจในการมาร่วมกันช่วยงาน<br />ภูมิปัญญาที่แสดงภูมิปัญญาการใช้อาวุธ(ล่าสัตว์) ซึ่งถือเป็นการกีฬาประเภทหนึ่งและแสดงถึงความกล้าหาญที่แฝงอยู่ในตัวบุคคลในการกล้าที่จะเผชิญกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าอย่างอาจหาญและทำให้เงาะน้อยรุ่นหลัง เกิดความชื่นชมและเชื่อมั่นในความกล้าหาญ เกิดความดีอกดีใจเมื่อเห็นซมพลาฆ่าเสือได้โดยเลียนเสียงธรรมชาติ ดังนี้<br />“อาเหืออาเหือเสืออ้ายกะโต กลิ้งโค่โล่เพราะซมพลา<br />หุยฮาหุยถุยแยกเขี้ยว ดีแต่เคี้ยวคูถอ้ายกรา<br />ฮ่าหาฮ่าหาตาถลน หน้าแยกย่นนิ่งไยรา<br />ฉะฉิฉาท่าตะกาย เล็บมึงหายคมฤาหวา<br />โอ้ยโยะโอ๊ยแย่แผ่แดด ไฉนไม่แผดเสียงให้จ้า<br />เพื่อนเอ๋ยเพื่อนมาช่วยกู โห่ให้ใครรู้ผู้แกล้วกล้า<br />รูปก็แร่งแรงก็หนัก ให้กอดารักจนเป็นบ้า<br />โห่ฮิ้วโห่ฮิ้วโห่เห่ ให้สมคะเนอ้ายซมพลา<br />ภูมิปัญญาแสดงถึงการแต่งกาย ของเจ้าบ่าวเจ้าสาวในการจะไปแต่งงานของฮเนาและลำหับ<br />“ อาบน้ำชำระสระสาง ล้างละอองธุลีที่ติดต้อง<br />แล้วนุ่งเลาะเตี๊ยะใยยอง สดแดงแสงส่องเพียงบาดตา<br />ไว้ไกพ็อกกอเลาะดูเหมาะเหม็ง เชิงนักเลงกลีบตกป้องปกขา<br />มาลัยฮาปองยาวราวสักวา กระหวัดชายซ้ายขวาเวี่ยวง<br />คาดมันนิลายนาบอาบสี เป็นนาคีกระหนกวิหคหงส์<br />จับบอเลาเหลืองอร่ามงามบรรจง อาจองยุรยาตรนาดกราย”<br />ภูมิปัญญาที่แสดงถึงความรักความผูกพันอันบริสุทธิ์และยิ่งใหญ่ ของแม่ที่มีต่อลูก การคร่ำครวญในการจากไปของลูก และการหวังพึ่งพาอาศัยตามลักษณะของสังคมไทย การเห็นอกเห็นใจของผู้ได้พบเห็น และสัจจะธรรมที่ประจักษ์ว่าการเลี้ยงลูกด้วยความรักทะนุถนอมและยากลำบาก โดยใช้โวหารเปรียบเทียบกับธรรมชาติที่อยู่รอบตัว<br />(สามแม่) “โอ้ลูกเราสามราเลี้ยงมายาก<br />ยามจะพรากเหมือนฟ้าแลบแปลบเดียวหาย<br />(ทั้งหมด) น่าสงสารสามแม่ล้วนแก่กาย<br />เลี้ยงลูกคล้ายฝูงนกที่กกฟอง<br />(สามแม่) ถนอมมากมิให้พรากไปหนไหน<br />มาเหมือนไข่กระทบแตกแยกเป็นสอง<br />(ทั้งหมด) สงสารล้ำน้ำตาอาบหน้านอง<br />เหมือนนางรองธารามาแต่ธาร<br />(สามแม่) แม่เลี้ยงมาหวังว่าจะฝากร่าง<br />มาขาดกลางเหมือนต้นไม้ใครประหาร<br />(ทั้งหมด) สงสารนักความรักมาขาดราน<br />เหมือนเด็ดก้านบัวสดไม่หมดใย<br />(สามแม่) โอ้แต่นี้แม่จะมีแต่ร้อนเร่า<br />เหมือนเพลิงเผาลวกลบต้นไม้ไหม้<br />(ทั้งหมด) สงสารจริงยิ่งล้นบ่นพิไร<br />เหมือนเชื้อไฟสุมขอนจะร้อนนาน<br />(สามแม่) แม่จะเป็นเช่นต้นไม้ตายเพราะลูก<br />เห็นก็ถูกควรลับดับสังขาร<br />(ทั้งหมด) สงสารแท้เห็นไม่รอดคงวอดปราณ<br />เหมือนไฟผลาญไพรพนัสเหลือตัดรอน<br />ภูมิปัญญาที่แสดงให้เห็นถึงการแพทย์แผนโบราณ โดยการใช้สมุนไพรให้ทราบถึงคุณและโทษของสมุนไพรและพันธ์ไม้ต่าง ๆ เป็นการถ่ายทอดความรู้นอกห้องเรียนด้วยการปฏิบัติจริงจากรุ่นสู่รุ่น<br />“ว่าพลางทางแก้ตอกนุกออก เอากระบอกมันนินั้นมาตั้ง<br />เปิดฮอนเล็ดเห็นบิลาลูกกำลัง แล้วก็นั่งชี้แจงให้เข้าใจ<br />อันบิลานี้ทายางอิโปะ แม้นเป่าโผละถูกเนื้อที่ตรงไหน<br />เป็นยาพิษโลหิตสูบซ่านไป ไม่มีใครรอดพ้นสักคนเลย<br /><br /><span style="font-size:130%;">คุณค่าและประโยชน์ที่ได้จากเรื่องเงาะป่า</span><br />1. ความรู้เกี่ยวกับสภาพชีวิตความเป็นอยู่และขนบธรรมเนียมประเพณีของพวกเงาะซาไก ไม่ว่าจะเป็นที่อยู่อาศัย ภาษา อาวุธ การแต่งกาย ความเชื่อ ประเพณีแต่งงาน ประเพณีงานศพ เช่นรู้ว่าพวกเงาะไม่มีกฎหมาย ไม่มีสถานที่ฟ้องร้องและตัดสินคดี เมื่อเกิดเรื่องทะเลาะวิวาทก็ใช้วิธีตัดสินโดยการต่อสู้กันตัวต่อตัวคล้ายกับการดวล (duel) กันเช่นเดียวกับทางตะวันตก พวกเงาะนับถือผี วิญญาณ เจ้าป่า และรุกขเทวดา เชื่อถือเครื่องรางของขลัง เมื่อตายไปเชื่อว่าจะต้องรับฝังศพเพื่อมิให้เป็นเหยื่อสัตว์ร้าย และต้องย้ายทัพหนีวิญญาณของผู้ตาย ในการสู่ขอแต่งงานฝ่ายชายต้องนำผ้าคู่หนึ่งมาให้แก่พ่อแม่ฝ่ายหญิง หลังพิธีแต่งงานมีการให้โอวาทแล้วเลี้ยงฉลอง และฝ่ายหญิงต้องเข้าไปอยู่ในป่าตามลำพังกับเจ้าบ่าว 7 วัน จึงจะกลับมายังทับเพื่อศึกษาซึ่งกันและกันและแสดงให้เห็นว่าเจ้าบ่าวสามารถดูแลปกป้องได้<br />2. ในสังคมของพวกเงาะนั้นด้อยความเจริญแต่เพียงด้านวัตถุ ส่วนทางด้านจิตใจมีความเจริญมากกว่าคนเมืองด้วยซ้ำไป เพราะพวกเงาะมีความรัก ความซื่อสัตย์สุจริต ความสามัคคีและมีคุณธรรม แม้จะมีความขัดแย้งกันบ้างเป็นเรื่องธรรมดาแต่ในที่สุดก็เข้าใจกันได้<br />3. ทราบถึงพระปรีชาสามารถในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ทรงนำภาษาก็อย ซึ่งออกเสียงยากมากมาทรงพระราชนิพนธ์ปนไว้ในเรื่องมากมาย ทำให้เกิดบรรยากาศที่สมจริงพร้อมทั้งได้ทรงให้ความหมายไว้ในบทนำด้วยเพื่อช่วยให้อ่านได้เข้าใจยิ่งขึ้น<br /><br /><span style="font-size:130%;">ข้อคิดที่ได้จากเรื่องเงาะป่า<br /></span>1. ความรักของหนุ่มสาวนั้นมีอานุภาพรุนแรงที่สุด อาจบันดาลให้ผู้ที่อยู่ในห้วงรักทำอะไรๆ เพื่อความรักได้ทั้งนั้น บางครั้งก่อให้เกิดโศกนาฏกรรม เช่นในเรื่องเงาะป่า แม้ในปัจจุบันนี้ความตายของหนุ่มสาวที่เกิดจากความรักเป็นเหตุก็ยังคงมีอยู่เสมอ ๆ<br />2. ผู้ใดที่มีความรัก ไม่ว่าจะเป็นความรักประเภทใด ผู้นั้นก็มักจะมีความทุกข์ตามมาด้วยเพราะรักแล้วอาจไม่สมหวัง หรือรักแล้วอาจต้องพลัดพรากกัน (ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์ ความรักเป็นสั่งที่ดีแต่ควรรักอย่างมีสติ)<br />3. ไม่ว่าในสังคมใด แม้จะป่าเถื่อนเช่นสังคมเงาะ ก็ยกย่องผู้หญิงที่ซื่อสัตย์มั่นคงในความรักเหมือนนางลำหับ แม้ตายไปแล้วก็ยังมีผู้สรรเสริญ เป็นสัจธรรมที่แท้จริงคือความดีเท่านั้นที่คงทนจีรังยั่งยืน ชาวเงาะถึงแม้จะมีรูปชั่วตัวดำหรือมีความอัปลักษณ์แต่เป็นคนที่มีจิตใจดีงามแสดงให้เห็นว่าอย่ามองคนเพียงรูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น<br />4. เกี่ยวกับประเพณีการแต่งงานแบบคลุมถุงชนว่าบางครั้งก่อให้เกิดความเดือดร้อนและความทุกข์ทรมาน เพราะคู่บ่าวสาวอาจมีคนรักอยู่แล้วเหมือนนางลำหับในเรื่องนี้ ดังนั้นบิดามารดาจึงไม่ควรบังคับ ควรถามความสมัครใจของทั้งคู่ก่อน<br />5. ลูกนั้นต้องมีความเคารพรักและแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อผู้มีพระคุณเช่นนางลำหับที่ต้องยอมแต่งงานเพราะทดแทนบุญคุณของบิดามารดาทั้งที่ตนไม่เต็มใจ แต่ควรแสดงเหตุผลให้พ่อแม่เข้าใจ และควรไตร่ตรองให้ดีก่อนที่จะตัดสินใจทำสิ่งใดลงไป </div><br /><div align="left"></div><br /><div align="left"></div><br /><div align="left"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5242083067188856882" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhSIMPJQPp1No5WT4nttRrU4vo_02QSawu7e-g3FOoc-2YjVzNJyA5V9qOYgMFKlKzD-n818sPTTLEoCIJ0rXqXMvSV1z_nUzPZ1HLdm1bdZDFxVCMuERcjAnQKV2SoEyjxFaYKbvOytgw/s200/%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%9B14.jpg" border="0" /></div><br /><div align="left"><br /><br /><span style="font-size:130%;">สรุป<br /></span>เงาะป่าเป็นชนกลุ่มน้อยคือพวกเงาะป่าซาไก ซึ่งอยู่ทางภาคใต้ของประเทศไทย โดย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสนพระราชหฤทัยเกี่ยวกับชีวิตเงาะป่า โดยนำลูกเงาะป่าชื่อ “คนัง” มาทรงชุบเลี้ยงในพระบรมมหาราชวัง และเป็นมหาดเล็กคนโปรดของพระองค์ บทละครเรื่อง เงาะป่า แสดงให้เห็นถึงพระราชดำริริเริ่มสร้างสรรค์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในการทรงนำชีวิตของชนกลุ่มน้อยซึ่งไม่อยู่ในสายตาของผู้คนในสังคมเมืองมาทรงพระราชนิพนธ์ ซึ่งไม่เคยมีปรากฏมาก่อนในวรรณคดีไทย บทละครเรื่องเงาะป่าเกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาใกล้เคียงกับพระราชบัญญัติเลิกทาส จึงน่าจะสะท้อนให้เห็นแนวพระราชนิยมและพระราชดำริอันแสดงจุดยืนที่แน่วแน่ที่ทรงมีต่อมนุษยชาติไม่ว่าจะอยู่ในสถานภาพใดในสังคมใด ทุกชีวิตต่างมีค่าและมีความสำคัญเท่าเทียมกันในความเป็นมนุษย์ มีอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดไม่แตกต่างกัน และแสดงให้เห็นว่าความล้าหลังทางวัตถุและรูปลักษณ์ภายนอกไม่ได้เป็นข้อสรุปถึงความต่ำต้อยทางจิตวิญาณเสมอไป มนุษย์ทุกผู้ทุกนามต่างมีศักดิ์ศรี มีจุดหมายในการดำรงอยู่เพียงแต่จะไปถึงจุดหมายปลายทางได้มากน้อยเพียงใด </div>nithttp://www.blogger.com/profile/02938631367294223145noreply@blogger.com0